วันอังคารที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560

กวาวเครือขาว ประโยชน์สรรพคุณ และงานค้นคว้าจุดเด่นข้อด้อย

กวาวเครือขาว ผลดีสรรพคุณ และงานศึกษาวิจัยข้อดีข้อตำหนิ
กวาวเครือขาว ผลดีกวาวคุณประโยชน์ และก็การค้นคว้า
ชื่อสมุนไพร กวาวเครือขาว
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อประจำถิ่น กวาวเครือ , จานเครือ (อีสาน) ,ตานเครือ , ทองเครือ , จอมทอง , (ใต้) ตานจอมทอง (จังหวัดชุมพร) โพ้ต้น ( จังหวัดกาญจนบุรี) .โพะตะกู
ชื่อวิทยาศาสตร์ Pueraia candollei Graham ex Benth. Var mirifica
ชื่อวงศ์ Leguminosae-Papilionoideae

บ้านเกิด
กวาวเครือขาวเป็นพืชที่ขึ้นบริเวณป่าเบญจพรรณ เจอกระจากทั่วไปตั้งแต่ อินเดีย กลุ่มประเทศอินโดจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย จีน ประเทศญี่ปุ่น และ ไทย สำหรับในประเทศไทย เจอกระจากในป่าเบญจพรรณในภาคเหนือ ภาคตะวันตก รวมทั้งภาคอีสาน แม้กระนั้นจะพบมากในภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีอินทรีย์สารสูงตามป่าเขา ดินที่มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างโดยประมาณ 5.5 ที่สูงจาก

ระดับน้ำทะเล 300 – 800 เมตร ในภาวะธรรมชาติมีการกระบุงประเภทด้วยเม็ด โดยดังนี้พบว่าจะมีการออกดองช่วงก.พ.ถึงมีนาคมและติดฝักในเดือนเมษายน สามารถเจอกวาวเครือขาวพันอยู่กับต้นไม้ใหญ่โดยยิ่งไปกว่านั้นต้นสักในจังหวัดกาญจนบุรี ตาก ลำปาง จังหวัดเชียงใหม่ ในบริเวณที่เป็นดงไผ่ในจังหวัดกาญจนบุรี สระบุรี จังหวัดลพบุรี ชัยภูมิ พบว่ามีกวาวเครือขาวกระจากจำพวกอยู่ได้ดิบได้ดีเช่นกัน
ลักษณะทั่วไปของกวาวเครือขาว
กวาวเครือขาวเดินถูกให้มีชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า Butea superba Roxb. เป็นพืชตระกูลถั่ว ขึ้นในป่าเบญจพรรณ ลักษณะเป็นไม้เถาเนื้อแข็งขนาดใหญ่ ผลัดใบ เลื้อยพิงพันบนต้นไม้เปียกชื้น
ลำต้นเกลี้ยง บางทีอาจยาวถึง 5 เมตร ใบเป็นในประกอบ มีใบย่อย 3 ใบ (Pinnately trifoliate) เรียงสลับกันปลายใบมีลักษณ์รูปไข่ปลายแหลม เนื้อใบด้านบนสะอาดข้างล่างมีขนสั้นๆประปรายเส้นกิ้งก้านใบข้างละ 5 – 7 เส้น ใบย่อยด้านข้างโคนมีลักษณะเบี้ยว หูใบรูปไข่ มีเยื่อก้านใบเห็นเด่น ใบประดับประดามีลักษณะเป็นเกล็ดมีขนาดเล็กมากมาย
ดอกออกในระยะผลัดใบ เป็นช่อยาวโดยประมาณ 30 ซม. ดอกจะออกตามาซอกกิ่ง ข่อดอกเป็นข่อลำพังและช่อแยกกิ่งก้านสาขาออกปลายกิ่ง ดอกมีกลีบประดับรองรับ ดอกย่อยเป็นรูปถั่วเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีทั้งปวงศผู้และเพศเมียในดอกเดียวกัน รูปทรงดอกเป็นแบบ Zygomorphic แบบที่เรียกว่า Papilionacaceous form ดอกประกอบด้วยกลีบ 5 กลีบ ที่มีขนาดและลักษณะต่างกัน กลีบที่อยู่นอกสุดมีขนาดใหญ่สุด เรียกว่ากลีบ Standard กลีบที่ประกบอยู่ทางข้างๆทั้งคู่ มีลักษณะคล้ายคลึงกัน คืองอนโค้งคล้ายปีกนกเรียกว่า กลีบ wing กลีบที่อยู่ภายในสุด 2 กลีบ จะเชื่อมรวมกันเป็นกระพุ้งคล้ายท้องเรือ เรียกว่า กลีบ (keel) เป็นกลีบที่ห่อเกสรไว้ มีก้านชูอับเรณูติดกัน ดอกมีสีฟ้าอมม่วงถึงสีน้ำเงิน 2 – 3 ดอกต่อช่อ มีเกสรตัวผู้ 10 อัน รังไข่ยาวเป็นแบบ superior ข้างในมี 1 ห้องมีเม็ดไข่อยู่ภายใน
ฝักมีลักษณะแบน เมื่อแก่มีสีออกน้ำตาล ผิวมีขนสั้นๆเรี่ยรายถึงหมดจด ฝักมีความกว้างโดยประมาณ 7 มม. ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร มีเม็ด 3 – 5 เม็ดต่อฝัก เม็ดมีลักษณะกลมมีเส้นผ่าศูนย์กลาง โดยประมาณ 2 – 4 เซนติเมตร เม็ดแก่จะมีลายสีเขียวคละเคล้าม่วง หรือ สีน้ำตาลปนม่วง
หัวเป็นหัวใต้ดินคล้ายหัวมันแกว (Tiberous root) จะมีฤทธิ์ทางยามากเวลาที่ผลัดใบ มีหลายขนาด หัวที่มีอายุมากมายมีขนาดใหญ่ อาจมีน้ำหนักมากถึง 20 กิโล ที่เปลือก เมื่อเอามีดปาดจะมียางสีขาวคล้ายนม เนื้อในสีขาวคล้ายมันแกว เนื้อจะเปราะ มีเส้นมาก รสเย็นเบื่อเมา หัวที่ยังเล็ก เนื้อในจะละเอียด มีน้ำมากมาย
การขยายพันธุ์กวาวเครือขาว
ขยายพันธุ์โดยการปลูกแบบเพาะเม็ด โดยอาจเริ่มต้นโดยการสร้างต้นชนิดจากเมล็ดหรือโดยวิธีอื่น การสร้างต้นจำพวกจากเม็ดต้องคอยเก็บเมล็ดในตอนต้นถึงกลางฤดูร้อน เหตุเพราะกวาวเครือขาวออกดอกติดฝักในช่วงกลางฤดูหนาวจนกระทั่งกึ่งกลางหน้าร้อน แหล่งกำเนิดของเม็ดเป็นต้นกวาวเครือขาวที่อยู่ในป่า แกะเม็ดออกจากฝัก เก็บไว้ในที่แห้งหรือในภาชนะที่มีการระบายอากาศได้ ทำเพาะเมล็ดในกระบะใส่ดินผสมปุ๋ยธรรมชาติโดยให้เม็ดถูกฝังกลบไว้ลึกราว 1 ซม. รดน้ำให้เปียกทุกวัน แนะนำให้กระทำการเพาะเมล็ดในตอนที่อากาศร้อนจัดที่สุด ความร้อนจะช่วยทำให้เม็ดแตกหน่อได้ง่ายขึ้น ปกติเมล็ดที่เก็บจากฝักที่แห้งคาต้นแล้วเอามาเพาะในปีนั้นจะมีอัตราการงอกแทบ 100% เม็ดที่ถูกเก็บไว้ข้ามปีจะมีอัตราแตกหน่อลดน้อยลง
องค์ประกอบทางเคมี
หัวกวาวเครือขาวมีสารที่มีประโยชน์อยู่อีกหลากหลายประเภทและสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน เอสโตรเจน ยิ่งกว่านั้นยังเจอข้อมูลทางด้านโภชนาการดังนี้




________________________________________
องค์ประกอบ จำนวน (เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนักแห้ง)
________________________________________
พลังงานจากไขมัน 5.85 แคลอรีต่อ 100 กรัม
คาร์โบไฮเดรตรวม 67.66
ไฟเบอร์รวม (dietary Fiber) 20.39
น้ำตาลรวม (Total Sugar) 19.35
คาร์โบไฮเดรต อื่นๆ 27.92
โปรตีน 7.88
ไขมัน 0.66
แคลเซี่ยม 7.56
เหล็ก 0.029
พลังงานรวม 308.01 แคลอรีต่อ 100 กรัม
________________________________________

องค์ประกอบทางเคมีของหัวกวาวเครือขาว (Pueraria mirifica)
ที่มา : ชาลีและก็วันชัย (2544)

ส่วนสาระสำคัญกลุ่มต่างๆ
ที่เจอในกวาวเครือขาวสามารถแบ่งเป็นกรุ๊ปๆได้ดังนี้
7.1 สารกรุ๊ปคูมารินส์ (Coumarins)
อาทิเช่น Coumestrol, Mirificoumestan, Mirificoumestan Glycol และก็ Mirificoumestan hydrate

สูตรโครงสร้างทางเคมีของ Coumestrol
ที่มา : สุนิสา (2552)

สูตรองค์ประกอบทางเคมีของ Mirificoumestam
ที่มา : สุนิสา (2552)

7.2 สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Flavonoids)
โดยในหัวกวาวเครือขาวมีสารจำพวก lsoflavonoid หลายประเภท ดังเช่น Genistain, Daidzein, Daidzin, Puerarin, Puerein-6-monoacetate, Mirificin, Kwakhurin และ Kwakhurin hydrate

Genistein : R1 = H , R2 = OH
Daidzein : R1 = H , R2 = H
Puerarin : R1 –Glucose, R2 = H
Mirificin : Glucose – Apiose , R2 = E
สูตรส่วนประกอบทางเคมีของสารกลุ่ม Flavonoids
ที่มา : สุนิสา (2552)
7.3 สารกลุ่มโครมีน (Chromene)
สาระสำคัญลำดับต้นๆในกวาวเครือ อาทิเช่น Miroestrol ซึ่งเป็นสารที่มีแถลงการณ์ว่ามีฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจน เจอจำนวน 0.002 – 0.003 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักหัวแห้ง หรือราว 15 มิลลิกรัมต่อกิโลของกวาวเครือแห้ง มีรูปผลึก 2 แบบหมายถึงแบบที่มีน้ำหนักอยู่ในผลึก (hydrate form) ลักษณะเป็นรูปเข้มอ้วน และแบบผลึกที่ไม่มีน้ำอยู่ในผลึก (anhydrate form) มีลักษณะเป็นแผ่น ไม่มีสี มีจุดหลอมเหลว 268 – 270 องศาเซลเซียส

สูตรโครงสร้างทางเคมีของ Miroestrol
ที่มา : สุนิสา (2552)

7.4 สารกรุ๊ปสเตียรอยด์ (steroids)
สเตียรอยด์ที่เจอในหัวกวาวเครือ ดังเช่นว่า B-sitosterol, Stigmasterol, Pueraria และก็ Mirificasterol
7.5 สารประกอบอื่นๆ
นอกจากสารกรุ๊ปที่กล่าวแล้วข้างต้น ในหัวกวาวเครือขาวยังมีสารพวกแอลเคน แอลกอฮอร์รวมทั้งสารประเภทไขมัน คือ Puereria, Mififica glyceride lithium, Potassium, Sodium, Phosphate, แคลเซียม, โปรตีน, ไขมัน, และก็ไฟเบอร์ นอกนั้นยังมีสารประเภท Saponim อยู่อีกหลายประเภท
ซึ่งสารต่างๆเหล่านี้หลายอย่างมีคุณลักษณะเป็นไฟโตเอสโตรเจน (phytoestrogen) ซึ่งหมายความว่าเป็นเอสโตรเจนที่ได้จากพึชรวมทั้งออกฤทธิ์เช่นเดียวกับฮอร์โมนเอสโตรเจนทุกสิ่งทุกอย่าง หรืออาจหมายถึงสารที่ออกฤทธิ์ที่ตัวรับ (Receptor) เดียวกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งตอนนี้เข้าใจดีแล้วว่า receptor นี้มี 2 Subtypeเป็นestrogen receptor alpha แล้วก็ beta subtype ปัจจุบันนี้ไฟโตเอสโตรเจนที่มีอยู่ในกวาวเครือขาวสามารถแบ่งได้สารที่มีความแรงสูงรวมทั้งความแรงต่ำ โดยกลุ่มที่มีความรุนแรงต่ำ อาทิเช่น Coumestrol, Daidzein, Daidzin, Genistin, Genistein, Mirificn และ Puerarin
คุณประโยชน์กวาวเครือขาว
หัว รสเย็นเบื่อเมา บำรุงเนื้อหนังให้เต่งตึง บำรุงสุขภาพ บำรุงกำลัง เป็นยาอายุวัฒนะสำหรับคนสูงอายุ แก้เมื่อยตามร่างกาย แก้อ่อนเพลีย ผอมแห้ง นอนไม่หลับ มีฮอร์โมนผู้หญิงสูง ทาหรือรับประทานทำให้เต้านพขยายตัว เส้นผมดกดำ เพิ่มเส้นผม เป็นยาปรับรอบเดือนอาจทำให้แท้งลูกได้ บำรุงความกำหนัด ทำให้อวัยวะสืบพันธุ์และมดลูกมีเลือดมาคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บำรุงอวัยวะสืบพันธุ์ให้เจริญ แก้โรคจาฟาง ต้อกระจก ทำให้ความจำดี ทำให้มีพลัง เคลื่อนไหวแคล่วคล่องว่องไว บำรุงเลือด กินได้นอน ผิวหนังเต่งตึงผุดผ่อง ช่วยลดลักษณะของสตรีวัยหมดประจำเดือน โดยมีการศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ขของกวาวเครือขาวต่อการลดอาการร้อนวูบวาบ มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระแล้วก็ช่วยให้เรื่องของความจำแล้วก็การศึกษา ช่วยลดอาการช่องคลอดแห้งในสตรีวัยหมดระดูได้
แบบอย่างและขนาดวิธีการใช้กวาวเครือขาว
สถาบันการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข กำหนดขนาดการใช้ดังนี้
การใช้เป็นส่วนประกอบในตำรับบำรุงปิ้งกาย ให้รับประทานยาตำรับที่มีส่วนประกอบของผงกวาวเครือขาว ไม่เกิน 1 – 2 มิลลิกรัม ต่อโลต่อวัน หรือราวๆวันละไม่เกิน 50 – 100 มก. อาการข้างเคียงที่บางทีอาจพบได้คือ เจ็บเต้านม มีเลือดออกไม่ดีเหมือนปกติทางช่องคลอด ปวดหรือเวียนหัว อ้วกอาเจียน
หนังสือเรียนยาของหลวงอนุสารสุนทร
เจาะจงขนาดที่ใช้ของหัวกวาวเครือขาว โดยให้รับประทานกวาวเครือขาวผสมน้ำผึ้ง ขนาดเท่าเม็ดพริกไทย 1 เมล็ดต่อวัน รับประทานมากจะมีผลให้มึนเมาเป็นพิษคนวัยหนุ่มสาวไม่ควรรับประทาน
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาของกวาวเครือขาว
การทดสอบในหนูเพศภรรยาที่กินกวาวเครือขาวพบว่า ส่งผลยับยั้งการให้นมของหนูที่กำลังให้นม โดยไปยังยั้งการเจริญของต่อมน้ำนม และก็การสร้างน้ำนม มีผลคุ้มครองปกป้องการมีครรภ์ เมื่อให้หนูกินในตอนมีท้องวันที่ 1 – 10 ติดต่อกัน หรือให้กินในตอนที่มีการย้ายที่ของตัวอ่อน โดยการทำให้มากเกินแท้ง แล้วก็เมื่อให้ในหนูที่ตัดรังไข่ออก รับประทานกวาวเครือพบว่าน้ำหนักของมดลูกและก็ปริมาณของเหลวในมดลูกมากขึ้น เหมือนกับที่เจอในหนูที่ได้รับ ethinyl estradiol และมีรายงานว่ากวาวเครือขาวมีฤทธิ์คุมกำเนิดที่ดีในหนูขาวเมื่อให้ในขนาด 1 กรัม/ตัว/สัปดาห์ ส่วนผลของกวาวเครือขาวต่อหนูเพศผู้พบว่าสัตว์มีความประพฤติการขยายพันธุ์ต่ำลง และมีขนาด รวมทั้งน้ำหนักอัณฑะ epididymis ต่อมลูกหมาก แล้วก็ seminal vesicles ลดลง แล้วก็มีจำนวนตัวสเปิร์ม และเปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวของตัวสเปิร์มต่ำลง
การเรียนทางสถานพยาบาลในระยะที่ 2 ในอาสาสมัครกลุ่มก่อนและข้างหลังวัยหมดระดู ที่มีลักษณะอาการพร่องฮอร์โมนเอสโตรเจน จำนวน 37 ราย ใช้เวลา 6 เดือน เจอคะแนนของงอาการวัยหมดระดูน้อยลงจาก 35.6 เป็น 15.1 แล้วก็ 32.6 เป็น 13.69 ในกลุ่มที่ได้รับ 50 มิลลิกรัมต่อวัน แล้วก็ 100 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นลำดับ แต่เจออาการข้างเคียงเป็นอาการคัดตึงเต้านมโดยประมาณร้อยละ 35 รวมทั้งอาการเลือดออกกระปริดกระปรอยประมาณร้อยละ 16.2

การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยาของกวาวเครือขาว
การเรียนพิษทันควันของผงหัวกวาวเครือขาวในรูปผงยาแขวนตะกอนในน้ำ พบว่าไม่ทำให้มีการเกิดอาการพิษรุนแรงในหนูถีบจักร ขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่ามากยิ่งกว่า 16 กิโลกรัม / น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม การทดลองพิษครึ่งเรื้อรังในหนูขาวชนิดวิสตาร์โดยการป้อนผงหัวกวาวเครือขาวในรูปผงยาแขวนขี้ตะกอนในน้ำ ขนาด 10 แล้วก็ 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดความแปลกต่อค่าเลือดวิทยา และค่าทางวิชาชีวเคมี หรือพยาธิสภาพอะไรก็แล้วแต่แต่การให้ในขนาด 1000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ทำให้หนูเกิดภาวะโลหิตจาง ปริมาณเม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด ระดับโคเลสเตอรอคอยล น้ำหนักอัณฑะ ของหนูเพศผู้ต่ำลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง แล้วก็มีอัตราการเกิด hyperemia ของอัณฑะ ในหนูเพศภรรยาที่ได้รับในขนาด 100 และ 1000 มก./กก./วัน พบว่าระดับวัวเลสเตอรอลลดลง มดลูกบวมเต่ง มีอัตราการเกิด cast ที่ไตสูงยิ่งกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อแนะนำ
ถ้ารับประทานเกินขนาด จะก่อให้เกิดอันตรายได้ ทำให้มีอาการมึนเมา อาเจียน อ้วก ห้ามใช้ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ เนื่องจากว่าสารที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนผู้หญิงในกวาวเครือขาวมีความแรงของตัวยาจะรบกวนแนวทางการทำงานของฮอร์โมนเพศ แล้วก็ระบบประจำเดือนได้
ข้อควรตรึกตรอง ห้ามกินเกินขนาดที่เสนอแนะให้ใช้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น