กวาวเครือขาว คุณประโยชน์สรรพคุณ รวมทั้งงานศึกษาเรียนรู้วิจัยข้อดีข้อเสีย
กวาวเครือขาว คุณประโยชน์กวาวสรรพคุณ และงานศึกษาเรียนรู้
ชื่อสมุนไพร กวาวเครือขาว
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อประจำถิ่น กวาวเครือ , จานเครือ (อีสาน) ,ตานเครือ , ทองนอกรือ , จอมทอง , (ใต้) ตานจอมทองคำ (จังหวัดชุมพร) โพ้ต้น ( จังหวัดกาญจนบุรี) .โพะตะกู
ชื่อวิทยาศาสตร์ Pueraia candollei Graham ex Benth. Var mirifica
ชื่อวงศ์ Leguminosae-Papilionoideae
บ้านเกิด
กวาวเครือขาวเป็นพืชที่ขึ้นรอบๆป่าเบญจพรรณ เจอกระจากทั่วๆไปตั้งแต่ อินเดีย กลุ่มประเทศอินโดจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย จีน ญี่ปุ่น และก็ ไทย สำหรับในประเทศไทย พบกระจากในป่าเบญจพรรณในภาคเหนือ ภาคตะวันตก และก็ภาคอีสาน แต่จะพบบ่อยในภาคเหนือของไทย โดยยิ่งไปกว่านั้นพื้นที่ที่มีอินทรีย์สารสูงตามป่าเขา ดินที่มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ 5.5 ที่สูงจาก
ระดับน้ำทะเล 300 – 800 เมตร ในภาวะธรรมชาติมีการกระจาดประเภทด้วยเม็ด โดยทั้งนี้พบว่าจะมีการออกดองช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคมรวมทั้งติดฝักในเดือนเมษายน สามารถเจอกวาวเครือขาวพันอยู่กับต้นไม้ใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นสักในจังหวัดกาญจนบุรี ตาก ลำปาง จังหวัดเชียงใหม่ ในบริเวณที่เป็นดงไผ่ในจังหวัดกาญจนบุรี สระบุรี ลพบุรี ชัยภูมิ พบว่ามีกวาวเครือขาวกระจากพันธุ์อยู่เจริญด้วยเหมือนกัน
ลักษณะทั่วไปของกวาวเครือขาว
กวาวเครือขาวเดินถูกให้มีชื่อด้านวิทยาศาสตร์ว่า Butea superba Roxb. เป็นพืชตระกูลถั่ว ขึ้นในป่าเบญจพรรณ ลักษณะเป็นไม้เถาเนื้อแข็งขนาดใหญ่ ผลัดใบ เลื้อยพิงพันบนต้นไม้ชื้น
ลำต้นสะอาด บางทีอาจยาวถึง 5 เมตร ใบเป็นในประกอบ มีใบย่อย 3 ใบ (Pinnately trifoliate) เรียงสลับกันปลายใบมีลักษณ์รูปไข่ปลายแหลม เนื้อใบด้านบนเกลี้ยงด้านล่างมีขนสั้นๆเล็กน้อยเส้นกิ้งก้านใบข้างละ 5 – 7 เส้น ใบย่อยข้างๆโคนมีลักษณะเบี้ยว หูใบรูปไข่ มีเยื่อก้านใบมองเห็นชัดเจน ใบประดับมีลักษณะเป็นเกล็ดมีขนาดเล็กมากมาย
ดอกออกในระยะผลัดใบ เป็นช่อยาวราว 30 ซม. ดอกจะออกตามาซอกกิ่ง ข่อดอกเป็นข่อคนเดียวและช่อแยกกิ่งก้านสาขาออกปลายกิ่ง ดอกมีกลีบประดับรองรับ ดอกย่อยเป็นรูปถั่วเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีทั้งหมดศผู้และก็เพศภรรยาในดอกเดียวกัน ทรงดอกเป็นแบบ Zygomorphic แบบที่เรียกว่า Papilionacaceous form ดอกมีกลีบ 5 กลีบ ที่มีขนาดแล้วก็ลักษณะไม่เหมือนกัน กลีบที่อยู่นอกสุดมีขนาดใหญ่สุด เรียกว่ากลีบ Standard กลีบที่ตามติดอยู่ทางข้างๆทั้งสอง มีลักษณะคล้ายคลึงกัน คืองอนโค้งคล้ายปีกนกเรียกว่า กลีบ wing กลีบที่อยู่ด้านในสุด 2 กลีบ จะเชื่อมรวมกันเป็นกระพุ้งคล้ายท้องเรือ เรียกว่า กลีบ (keel) เป็นกลีบที่ห่อเกสรไว้ มีก้านยกอับเรณูชิดกัน ดอกมีสีฟ้าอมม่วงถึงสีน้ำเงิน 2 – 3 ดอกต่อช่อ มีเกสรตัวผู้ 10 อัน รังไข่ยาวเป็นแบบ superior ภายในมี 1 ห้องมีเม็ดไข่อยู่ข้างใน
ฝักมีลักษณะแบน เมื่อแก่มีสีออกน้ำตาล ผิวมีขนสั้นๆกระจายถึงเกลี้ยง ฝักมีความกว้างราวๆ 7 มิลลิเมตร ยาวราวๆ 3 ซม. มีเม็ด 3 – 5 เม็ดต่อฝัก เมล็ดมีลักษณะกลมมีเส้นผ่านศูนย์กลาง ราวๆ 2 – 4 เซนติเมตร เม็ดแก่จะมีลายสีเขียวคละเคล้าม่วง หรือ สีน้ำตาลปนม่วง
หัวเป็นหัวใต้ดินคล้ายหัวมันแกว (Tiberous root) จะมีฤทธิ์ทางยามากในขณะที่ผลัดใบ มีหลายขนาด หัวที่แก่มากมายมีขนาดใหญ่ อาจมีน้ำหนักสูงถึง 20 กิโลกรัม ที่เปลือก เมื่อเอามีดเฉือนจะมียางสีขาวเหมือนน้ำนม เนื้อในสีขาวคล้ายมันแกว เนื้อจะเปราะ มีเส้นมากมาย รสเย็นเบื่อเมา หัวที่ยังเล็ก เนื้อในจะละเอียด มีน้ำมาก
การขยายพันธุ์กวาวเครือขาว
ขยายพันธุ์โดยการปลูกแบบเพาะเม็ด โดยอาจจะเริ่มต้นโดยการผลิตต้นประเภทจากเมล็ดหรือโดยแนวทางอื่น การผลิตต้นชนิดจากเมล็ดต้องคอยเก็บเม็ดในช่วงต้นถึงกึ่งกลางฤดูร้อน เพราะเหตุว่ากวาวเครือขาวมีดอกติดฝักในช่วงกึ่งกลางหน้าหนาวจนถึงกึ่งกลางฤดูร้อน ต้นกำเนิดของเมล็ดคือต้นกวาวเครือขาวที่อยู่ในป่า แกะเม็ดออกจากฝัก เก็บเอาไว้ในที่แห้งหรือในภาชนะที่มีการระบายอากาศได้ ทำการเพาะเม็ดในกระบะบรรจุดินผสมปุ๋ยอินทรีย์โดยให้เม็ดถูกฝังกลบไว้ลึกโดยประมาณ 1 เซนติเมตร รดน้ำให้ชุ่มแต่ละวัน เสนอแนะให้กระทำเพาะเมล็ดในช่วงที่อากาศร้อนมากที่สุด ความร้อนจะช่วยทำให้เม็ดงอกได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น โดยปกติเม็ดที่เก็บจากฝักที่แห้งคาต้นแล้วนำมาเพาะในปีนั้นจะมีอัตราการงอกเกือบ 100% เมล็ดที่ถูกเก็บไว้ผ่านปีจะมีอัตรางอกลดน้อยลง
องค์ประกอบทางเคมี
หัวกวาวเครือขาวมีสารที่มีสาระอยู่อีกหลากหลายประเภทและสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน เอสโตรเจน ยิ่งกว่านั้นยังเจอข้อมูลทางด้านโภชนาการดังนี้
________________________________________
ส่วนประกอบ ปริมาณ (เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนักแห้ง)
________________________________________
พลังงานจากไขมัน 5.85 แคลอรีต่อ 100 กรัม
คาร์โบไฮเดรตรวม 67.66
ไฟเบอร์รวม (dietary Fiber) 20.39
น้ำตาลรวม (Total Sugar) 19.35
คาร์โบไฮเดรต อื่นๆ 27.92
โปรตีน 7.88
ไขมัน 0.66
แคลเซี่ยม 7.56
เหล็ก 0.029
พลังงานรวม 308.01 แคลอรีต่อ 100 กรัม
________________________________________
ส่วนประกอบทางเคมีของหัวกวาวเครือขาว (Pueraria mirifica)
ที่มา : ชาลีรวมทั้งวันชัย (2544)
ส่วนสาระสำคัญกลุ่มต่างๆ
ที่เจอในกวาวเครือขาวสามารถแบ่งเป็นกรุ๊ปๆได้ดังต่อไปนี้
7.1 สารกลุ่มคูมารินส์ (Coumarins)
อย่างเช่น Coumestrol, Mirificoumestan, Mirificoumestan Glycol และก็ Mirificoumestan hydrate
สูตรโครงสร้างทางเคมีของ Coumestrol
ที่มา : สุนิสา (2552)
สูตรโครงสร้างทางเคมีของ Mirificoumestam
ที่มา : สุนิสา (2552)
7.2 สารกรุ๊ปฟลาโวนอยด์ (Flavonoids)
โดยในหัวกวาวเครือขาวมีสารประเภท lsoflavonoid หลากหลายประเภท อย่างเช่น Genistain, Daidzein, Daidzin, Puerarin, Puerein-6-monoacetate, Mirificin, Kwakhurin รวมทั้ง Kwakhurin hydrate
Genistein : R1 = H , R2 = OH
Daidzein : R1 = H , R2 = H
Puerarin : R1 –Glucose, R2 = H
Mirificin : Glucose – Apiose , R2 = E
สูตรองค์ประกอบทางเคมีของสารกลุ่ม Flavonoids
ที่มา : สุนิสา (2552)
7.3 สารกรุ๊ปโครมีน (Chromene)
สาระสำคัญอันดับแรกๆในกวาวเครือ ยกตัวอย่างเช่น Miroestrol ซึ่งเป็นสารที่มีกล่าวว่ามีฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจน เจอจำนวน 0.002 – 0.003 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักหัวแห้ง หรือราว 15 มก.ต่อกก.ของกวาวเครือแห้ง มีรูปผลึก 2 แบบหมายถึงแบบที่มีน้ำหนักอยู่ในผลึก (hydrate form) ลักษณะเป็นรูปเข้มอ้วน และก็แบบผลึกที่ไม่มีน้ำอยู่ในผลึก (anhydrate form) มีลักษณะเป็นแผ่น ไม่มีสี มีจุดหลอมเหลว 268 – 270 องศาเซลเซียส
สูตรส่วนประกอบทางเคมีของ Miroestrol
ที่มา : สุนิสา (2552)
7.4 สารกรุ๊ปสเตียรอยด์ (steroids)
สเตียรอยด์ที่พบในหัวกวาวเครือ อย่างเช่น B-sitosterol, Stigmasterol, Pueraria แล้วก็ Mirificasterol
7.5 สารประกอบอื่นๆ
เว้นแต่สารกลุ่มที่กล่าวแล้วข้างต้น ในหัวกวาวเครือขาวยังมีสารพวกแอลเคน แอลกอฮอร์และสารพวกไขมัน คือ Puereria, Mififica glyceride lithium, Potassium, Sodium, Phosphate, แคลเซียม, โปรตีน, ไขมัน, รวมทั้งไฟเบอร์ นอกเหนือจากนี้ยังมีสารชนิด Saponim อยู่อีกหลากหลายประเภท
ซึ่งสารต่างๆพวกนี้หลากหลายประเภทมีคุณลักษณะเป็นไฟโตเอสโตรเจน (phytoestrogen) ซึ่งหมายความว่าเป็นเอสโตรเจนที่ได้จากพึชแล้วก็ออกฤทธิ์เช่นเดียวกับฮอร์โมนเอสโตรเจนทุกประการ หรืออาจเป็นสารที่ออกฤทธิ์ที่ตัวรับ (Receptor) เดียวกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งปัจจุบันนี้รู้แล้วว่า receptor นี้มี 2 Subtypeหมายถึงestrogen receptor alpha รวมทั้ง beta subtype ตอนนี้ไฟโตเอสโตรเจนที่มีอยู่ในกวาวเครือขาวสามารถแบ่งได้เป็นสารที่มีความแรงสูงรวมทั้งความแรงต่ำ โดยกลุ่มที่มีความรุนแรงต่ำ อย่างเช่น Coumestrol, Daidzein, Daidzin, Genistin, Genistein, Mirificn แล้วก็ Puerarin
คุณประโยชน์กวาวเครือขาว
หัว รสเย็นเบื่อเมา บำรุงเนื้อหนังให้เต่งตึง บำรุงสุขภาพ บำรุงกำลัง เป็นยาอายุวัฒนะสำหรับคนชรา แก้เมื่อยตามร่างกาย แก้เมื่อยล้า ผอมแห้งแรงน้อย นอนไม่หลับ มีฮอร์โมนเพศหญิงสูง ทาหรือรับประทานทำให้เต้านพขยายตัว เส้นผมดกดำ เพิ่มเส้นผม เป็นยาปรับรอบเดือนอาจส่งผลให้แท้งลูกได้ บำรุงความกำหนัด ทำให้อวัยวะสืบพันธุ์และมดลูกมีเลือดมาคั่งเยอะขึ้น บำรุงอวัยวะสืบพันธุ์ให้เจริญรุ่งเรือง แก้โรคจาฟาง ต้อกระจก ทำให้ความจำดี ทำให้มีพลัง เคลื่อนกระปรี้กระเปร่า บำรุงเลือด กินได้นอน ผิวหนังเต่งตึงเปล่งปลั่ง ช่วยลดอาการของสตรีวัยหมดระดู โดยมีการเล่าเรียนฤทธิ์ขของกวาวเครือขาวต่อการลดอาการร้อนวูบวาบ มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระรวมทั้งช่วยทำให้เรื่องของความจำแล้วก็การเล่าเรียน ช่วยลดอาการช่องคลอดแห้งในสตรีวัยหมดระดูได้
แบบแล้วก็ขนาดวิธีใช้กวาวเครือขาว
สถาบันการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข ระบุขนาดการใช้ดังนี้
การใช้เป็นองค์ประกอบในตำรับบำรุงย่างกาย ให้กินยาตำรับที่มีส่วนประกอบของผงกวาวเครือขาว ไม่เกิน 1 – 2 มก. ต่อกิโลต่อวัน หรือประมาณวันละไม่เกิน 50 – 100 มก. อาการใกล้กันที่บางทีอาจพบได้เป็น เจ็บเต้านม มีเลือดออกไม่ดีเหมือนปกติทางช่องคลอด ปวดหรือเวียนศีรษะ คลื่นไส้คลื่นไส้
แบบเรียนยาของหลวงอนุสารเพราะ
ระบุขนาดที่ใช้ของหัวกวาวเครือขาว โดยให้รับประทานกวาวเครือขาวผสมน้ำผึ้ง ขนาดเท่าเม็ดพริกไทย 1 เม็ดต่อวัน รับประทานมากมายจะทำให้เมาเป็นพิษคนหนุ่มคนสาวไม่สมควรรับประทาน
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาของกวาวเครือขาว
การทดลองในหนูเพศเมียที่กินกวาวเครือขาวพบว่า ส่งผลยั้งการให้นมของหนูที่กำลังให้นม โดยไปยังยั้งการเจริญของต่อมน้ำนม และก็การสร้างนม มีผลคุ้มครองป้องกันการมีครรภ์ เมื่อให้หนูกินในช่วงตั้งท้องวันที่ 1 – 10 ต่อเนื่องกัน หรือให้กินในตอนที่มีการเคลื่อนย้ายของตัวอ่อน โดยทำให้มากเกินแท้ง แล้วก็เมื่อให้ในหนูที่ตัดรังไข่ออก กินกวาวเครือพบว่าน้ำหนักของมดลูกรวมทั้งจำนวนของเหลวในมดลูกเพิ่มขึ้น เหมือนกับที่เจอในหนูที่ได้รับ ethinyl estradiol และก็มีรายงานว่ากวาวเครือขาวมีฤทธิ์คุมกำเนิดที่ดีในหนูขาวเมื่อให้ในขนาด 1 กรัม/ตัว/สัปดาห์ ส่วนผลของกวาวเครือขาวต่อหนูเพศผู้พบว่าสัตว์มีการกระทำการสืบเผ่าพันธุ์ลดน้อยลง และก็มีขนาด และก็น้ำหนักอัณฑะ epididymis ต่อมลูกหมาก และก็ seminal vesicles ลดน้อยลง รวมถึงมีปริมาณตัวน้ำอสุจิ แล้วก็เปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวของตัวน้ำเชื้อลดลง
การศึกษาเล่าเรียนทางคลินิกในระยะที่ 2 ในอาสาสมัครกรุ๊ปก่อนและก็หลังวัยหมดระดู ที่มีลักษณะอาการพร่องฮอร์โมนเอสโตรเจน ปริมาณ 37 ราย ใช้เวลา 6 เดือน เจอคะแนนของงอาการวัยหมดระดูต่ำลงจาก 35.6 เป็น 15.1 รวมทั้ง 32.6 เป็น 13.69 ในกรุ๊ปที่ได้รับ 50 มิลลิกรัมต่อวัน และ 100 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นลำดับ แม้กระนั้นพบอาการข้างๆ คือ อาการคัดตึงเต้านมโดยประมาณร้อยละ 35 และอาการเลือดออกกระปริดกระปรอยราวๆปริมาณร้อยละ 16.2
การเรียนรู้ทางพิษวิทยาของกวาวเครือขาว
การเล่าเรียนพิษกระทันหันของผงหัวกวาวเครือขาวในรูปผงยาห้อยขี้ตะกอนในน้ำ พบว่าไม่ก่อให้เกิดอาการพิษกะทันหันในหนูถีบจักร ขนาดที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายครึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่ามากกว่า 16 กิโล / น้ำหนักตัว 1 กิโล การทดลองพิษกึ่งเรื้อรังในหนูขาวชนิดวิสตาร์โดยการป้อนผงหัวกวาวเครือขาวในรูปผงยาแขวนขี้ตะกอนในน้ำ ขนาด 10 และก็ 100 มก./กก./วัน ไม่กระตุ้นให้เกิดความแตกต่างจากปกติต่อค่าโลหิตวิทยา และค่าทางวิชาชีวเคมี หรือพยาธิภาวะใดๆก็ตามแต่การให้ในขนาด 1000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ทำให้หนูเกิดภาวะโลหิตจาง ปริมาณเม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด ระดับโคเลสเตอรอคอยล น้ำหนักอัณฑะ ของหนูเพศผู้ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งมีอัตราการเกิด hyperemia ของอัณฑะ ในหนูเพศภรรยาที่ได้รับในขนาด 100 และ 1000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน พบว่าระดับวัวเลสเตอรอลลดลง มดลูกบวมเต่ง มีอัตราการเกิด cast ที่ไตสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างเป็นจริงเป็นจัง
ข้อเสนอ
ถ้าหากกินเกินขนาด จะเป็นอันตรายได้ ทำให้มีลักษณะอาการเมา คลื่นไส้ อ้วก ห้ามใช้ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ เพราะเหตุว่าสารที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงในกวาวเครือขาวมีความแรงของตัวยาจะก่อกวนรูปแบบการทำงานของฮอร์โมนเพศ และก็ระบบระดูได้
ข้อควรคำนึง ห้ามกินเกินขนาดที่แนะนำให้ใช้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น