วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ถิ่นกำเนิดกวาวเครือแดง

กวาวเครือแดง ประโยชน์สรรพคุณและงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร  กวาวเครือแดง
ชื่อประจำถิ่น  กวาวเครือ (เหนือ)   จานเครือ  (อีสาน)   ตานจอมทอง  (ชุมพร)  โพตะกุ , โพมือ  (กะเหรี่ยง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Butea superba  Roxb
ชื่อวงศ์  Leguminosae  วงค์ย่อย   Papilonaceae

ถิ่นกำเนิดกวาวเครือเเดง

เจออยู่มากในรอบๆที่ราบเชิงเขา รวมทั้ง เชิงเขาป่าเต็งรัง  เทือกเขาหินปูน  ในบริเวณที่มีต้นไม้ยืนต้นไม่หนาแน่นนัก  พบได้บ่อยอยู่เป็นกรุ๊ปๆข้างในป่า  อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะมูลเหตุ หมายถึง ติดฝักได้น้อย  ฝักมีขนาดใหญ่ ทำให้แพร่ตำแหน่งเดิมได้ยาก  ต้นกวาวเครือแดง ที่สร้างพุ่มไม้เอง จะมีลักษณะเตี้ย  ส่วนต้นที่เกี่ยวข้องกับต้นไม้ใหญ่จะแตกกิ่งไปถึงยอดไม้

ลักษณะทั่วไปของกวาวเครือแดง

กวาวเครือแดงอยู่ในจำพวกไม้เลื้อย เป็นเถาวัลย์ เนื้อแข็ง มักชอบพาดขึ้นกับต้นไม้ใหญ่

  • ใบกวาวเครือแดง ใบใหญ่เหมือนใบต้นทองกวาว  แต่ว่าใบใหญ่มากยิ่งกว่า
  • ดอกกวาวเครือแดง ดอกใหญ่คล้ายดอกแคแสด  แต่เป็นพวงระย้าเสมือนดอกทองกวาว
  • หัวกวาวเครือแดง มีหลายขนาดลักษณะทรงกระบอก เมื่อสะกิดที่เปลือก จะมียางสีแดง เหมือนเลือดไหลออกมา
  • รากกวาวเครือแดง มีรากแขนงขนาดใหญ่  แยกจากเหง้าเลื้อยไปบริเวณหลายเมตร 

การขยายพันธุ์กวาวเครือแดง ทำได้ 3วิธีดังนี้|ดังต่อไปนี้

  • การเพาะเมล็ด โดยการเพาะเมล็ดในกระบะขี้เถ้าแกลบประมาณ 45 วัน นำต้นกล้าที่ได้ ปลูกลงถุงเพาะชำโดยใช้ดิน 2 ส่วน เถ้าถ่านแกลบ 1 ส่วน เปลือกมะพร้าว 1 ส่วน ค่า pH ราวๆ 5.5 เมื่อต้นกล้าเจริญวัยได้ 60 วัน ก็เลยนำลงแปลงปลูกที่โล่งแจ้ง  โดยการทำด้วยไผ่  หรือปลูกร่วมกับไม้ยืนต้นในวิธีการเกษตร อย่างเช่น ไผ่  สัก  ปอสา  หรือไม้ผลอื่นๆ พื้นที่ปลูกควรจะอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล  300-900 เมตร
  • การปักชำ นำเถาที่มีข้อมาปักชำในกระบะ หรือถุงที่ใส่ขี้เถ้าแกลบ  เมื่อเถาแตกรากและยอดแข็งแรงก็ดี จึงนำลงแปลงปลูกต่อไป
  • การแบ่งหัวต่อต้น หัวของกวาวเครือ ไม่มีตาที่จะแตกฯลฯใหม่  ต้องใช้ส่วนของลำต้นมาต่อเชื่อตามกระบวนการแพร่พันธุ์แบบต่อราก  เลี้ยงกิ่ง (nursed root grafting)  สามารถนำหัวกวาวเครือขนาดเล็ก อายุโดยประมาณ 6 เดือนขึ้นไป  รวมทั้งต้นหรือเถาที่เคยทิ้งไปข้างหลังการเก็บเกี่ยวมาเพาะพันธุ์ได้ ข้างหลังการต่อต้นราวๆ 45-60 วัน ก็สามารถนำลงปลูกได้ และมีจุดเด่นคือสามารถต่อต้นกับหัวข้ามสายพันธุ์ได้

องค์ประกอบทางเคมีของกวาวเครือแดง

            ท่อนหัวของกวาวเครือแดงประกอบด้วยสารไฟโตแอนโดรเจน และก็ไอโซฟลาโม้ลิกแนน 2 ประเภท ตัวอย่างเช่น Mebicarpin (carpin 3-hydroxy-9methoxypterocarpan); สารกรุ๊ปฟลาโวนอยด์ ตัวอย่างเช่น butenin; formononetin (7-hydroxy_-methoxy-isoflavone); (7,4_-dimethoxyisoflayone); 5,4_-dihydroxy-7-methoxy-isoflavone, 7-hydroxy-6,4_-dimethoxyisoflavone

แอนโทไซยานินมีค่าการดูดกลืนแสงในช่วงคลื่น  510-540นาโนเมตร  สารละลายแอนโทไซยานินมีการเปลี่ยนแปลงสีตามค่าความเป็นด่าง (pH) ต่ำจะมีสีแดง pH ปานกลางจะมีสีน้ำเงินม่วงและก็เมื่อ pH สูงจะมีสีเหลืองซีดเซียว

สรรพคุณกวาวเครือแดง

  • หัวกวาวเครือแดง รสเย็นเบื่อเมา  บำรุงเนื้อหนังให้เต่งตึง  บำรุงสุขภาพ  เพิ่มจำนวนอสุจิ เป็นยาอายุวัฒนะ

แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย

  • รากกวาวเครือแดง แก้ลมอัมพาต  บำรุงเลือด  ผสมกับรากสมุนไพรอื่นอีก 8 จำพวกเรียกว่า  พิกัดนวโลหะ  แก้โรคลมที่เป็นพิษ  แก้ริดสีดวง  ทำลายพยาธิ  ดับพิษ  ทำลายพิษไข้  สมานไส้
  • เปลือกเถากวาวเครือแดง รสเย็นเบื่อเมา  แก้พิษงู

ประโยชน์กวาวเครือแดง

ฤทธิ์ต่อระบบแพร่พันธุ์  การเล่าเรียนในอาสาสมัครเพศชาย 17 คน อายุระหว่าง 30 – 70 ปี ที่มีลักษณะอาการหย่อนยานความสามารถทางเพศขั้นต่ำ 6 เดือน  ให้กินกวาวเครือแดงขนาด 250 มิลลิกรัม/แคปซูล วันละ 4 แคปซูล เป็นเวลา 3 เดือน ผลการศึกษาเรียนรู้พบว่าระดับฮอร์โมน testosterone ไม่ได้มีความแตกต่างจากกลุ่มควบคุม  แต่ผลจาการตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับดรรชนีชี้วัดสมรรถนะทางเพศ  จากอาสาสมัครพบว่าทำให้ความสามารถทางเพศดียิ่งขึ้น  82.4 % ด้วยเหตุนี้ กวาวเครือแดงก็เลยช่วยฟื้นฟูคนเจ็บโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ และไม่พบการเกิดพิษ

รูปแบบและขนาดวิธีใช้กวาวเครือแดง

องค์การของกินรวมทั้งยาของไทย  เจาะจงขนาดแล้วก็วิธีการใช้สำหรับการรับประทานกวาวเครือแดง  ไม่เกิน  2 มก.  ต่อน้ำหนักตัว  1  กิโล  ต่อวัน

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของกวาวเครือแดง

ฤทธิ์ต่อระบบขยายพันธุ์  การทดสอบป้อนกวาวเครือแดงในรูปผงป่นละลายน้ำ  แล้วก็สารสกัดเอทานอล  ให้แก่หนูแรทเพศผู้  ความเข้มข้น 0.25 , 0.5 และก็ 5 มก./มิลลิลิตร  พบว่าหนูแรทที่ได้รับผงกวาวเครือแดงแบบละลายน้ำเข้มข้น 0.5 และ 5 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร เป็นเวลา  21  วัน  ทำให้น้ำหนักตัวของหนูแรท  รวมทั้งจำนวนสเปิร์มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ  รวมทั้งหนูแรทที่ได้รับสารสกัดเอทานอลเข้มข้น 5 มก./มิลลิลิตร 21 วัน มีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles ต่อมลูกหมาก  รวมทั้งความยาวขององคชาติ  ส่งผลให้หนูแรทมีการกระทำการสิบชนิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อศึกษาต่อไปถึงระยะ 42 วัน พบว่าหนูแรทที่ได้รับผงกวาวเครือแดงแบบละลายน้ำ มีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles ต่อมลูกหมาก และความยาวขององคชาติ  และก็ความประพฤติปฏิบัติการสืบพันธุ์เพิ่มมากขึ้น  แม้กระนั้นหนูกรุ๊ปที่ได้รับสารสกัดเอทานอล  กลับมีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles  น้อยลง  การเรียนรู้ผลของกวาวเครือแดงในระยะยาว  แล้วก็ในปริมาณสารสกัดที่มากขึ้น  พบว่าทำให้ระดับฮอร์โมน testosterone ของหนูแรทลดน้อยลง  รวมทั้งปริมาณเอนไซม์ตับสูงมากขึ้น  ด้วยเหตุนั้นการรับประทานกวาวเครือแดงมากจนเกินความจำเป็น อาจจะทำให้เกิดพิษต่อตับได้

การศึกษาทางพิษวิทยากวาวเครือแดง

การศึกษาเล่าเรียนพิษกึ่งเรื้อรังในหนูวิสตาร์เพศผู้โดยป้อนผงกวาวเครือแดงในขนาด 10 , 100 , 150 แล้วก็ 200  มิลลิกรัม/กก/วัน  ตรงเวลา 90 วัน  พบว่าหนูที่รับในขนาด   150  มิลลิกรัม/กก/วัน  น้ำหนักของม้ามมากขึ้น ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี alkalinephosphatase (ALP) และก็ aspartate aminotransferase (AST) เพิ่มขึ้น หนูที่ได้รับขนาด 200 มก./กก/วัน พบว่ามีเม็ดเลือดขาวประเภท neutrophil ลดลง ส่วนเม็ดเลือดขาวชนิด eosinophil ระดับ serum creatinine  ต่ำลงระดับฮอร์โมน testosterone น้อยลง ดังนั้นควรต้องรอบคอบการใช้ในขนาดสูงเนื่องจากอาจจะเป็นผลให้กำเนิดอาการอันไม่ประสงค์ต่างๆได้

ข้อแนะนำข้อควรระวัง

พืชชนิดนี้มีฤทธิ์เป็นยา เหมือนกันกับกวาวเครือขาว แต่มีพิษมากยิ่งกว่า  ถ้าหากกินมากอาจก่อให้เกิดอันตรายได้อาจส่งผลให้มึนเมาคลื่นไส้คลื่นไส้.รวมทั้งมีพิษเมามากกว่ากวาวเครือขาว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น