วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ข้อเเนะนำ/ข้อควรพิจารณากวาวเครือเเดง

กวาวเครือแดง ประโยชน์สรรพคุณและงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร  กวาวเครือแดง
ชื่อประจำถิ่น  กวาวเครือ (เหนือ)   จานเครือ  (อีสาน)   ตานจอมทอง  (ชุมพร)  โพตะกุ , โพมือ  (กะเหรี่ยง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Butea superba  Roxb
ชื่อวงศ์  Leguminosae  วงค์ย่อย   Papilonaceae

ถิ่นกำเนิดกวาวเครือเเดง

พบอยู่มากในรอบๆที่ราบเชิงเขา รวมทั้ง ตีนเขาป่าเต็งรัง  เทือกเขาหินปูน  ในบริเวณที่มีต้นไม้ยืนต้นไม่หนาแน่นนัก  มักพบอยู่เป็นกลุ่มๆด้านในป่า  อาจเกิดจากมูลเหตุ หมายถึง ติดฝักได้น้อย  ฝักมีขนาดใหญ่ ทำให้แพร่ไปตำแหน่งเดิมได้ยาก  ต้นกวาวเครือแดง ที่สร้างพุ่มเอง จะมีลักษณะเตี้ย  ส่วนต้นที่เกี่ยวเนื่องกับต้นไม้ใหญ่จะแตกกิ่งไปถึงยอดไม้

ลักษณะทั่วไปของกวาวเครือแดง

กวาวเครือแดงอยู่ในจำพวกไม้เลื้อย เป็นเถาวัลย์ เนื้อแข็ง มักชอบพาดขึ้นกับต้นไม้ใหญ่

  • ใบกวาวเครือแดง ใบใหญ่เหมือนใบต้นทองกวาว  แต่ว่าใบใหญ่กว่า
  • ดอกกวาวเครือแดง ดอกใหญ่คล้ายดอกแคแสด  แต่ว่าเป็นพวงระย้าราวกับดอกทองกวาว
  • หัวกวาวเครือแดง มีหลายขนาดลักษณะทรงกระบอก เมื่อสะกิดที่เปลือก จะมียางสีแดง เหมือนเลือดไหลออกมา
  • รากกวาวเครือแดง มีรากแขนงขนาดใหญ่  แยกจากเหง้าเลื้อยไปรอบๆหลายเมตร 

การขยายพันธุ์กวาวเครือแดง ทำได้ 3วิธีดังนี้|ดังต่อไปนี้

  • การเพาะเม็ด โดยการเพาะเม็ดในกระบะเถ้าแกลบราว 45 วัน นำต้นกล้าที่ได้ ปลูกลงถุงเพาะชำโดยใช้ดิน 2 ส่วน เถ้าแกลบ 1 ส่วน เปลือกมะพร้าว 1 ส่วน ค่า pH ราวๆ 5.5 เมื่อต้นกล้าเจริญเติบโตได้ 60 วัน จึงนำลงแปลงปลูกกลางแจ้ง  โดยการทำด้วยไผ่  หรือปลูกร่วมกับไม้ยืนต้นในแนวทางการเกษตร ดังเช่นว่า ไผ่  สัก  ปอสา  หรือไม้ผลอื่นๆ พื้นที่ปลูกควรอยู่สูงยิ่งกว่าระดับน้ำทะเล  300-900 เมตร
  • การปักชำ นำเถาที่มีข้อมาปักชำในกระบะ หรือถุงที่ใส่เถ้าแกลบ  เมื่อเถาแตกรากและยอดแข็งแรงก็ดีแล้ว จึงนำลงแปลงปลูกถัดไป
  • การแบ่งหัวต่อต้น หัวของกวาวเครือ ไม่มีตาที่จะแตกฯลฯใหม่  จึงควรใช้ส่วนของลำต้นมาต่อเชื่อตามวิธีการเพาะพันธุ์แบบต่อราก  เลี้ยงกิ่ง (nursed root grafting)  สามารถนำหัวกวาวเครือขนาดเล็ก อายุราว 6 ข้างขึ้นไป  และต้นหรือเถาที่เคยทิ้งไปข้างหลังการเก็บเกี่ยวมาแพร่พันธุ์ได้ ข้างหลังการต่อต้นราว 45-60 วัน ก็สามารถนำลงปลูกได้ แล้วก็มีคุณลักษณะเด่นคือสามารถต่อต้นกับหัวข้ามสายพันธุ์ได้

องค์ประกอบทางเคมีของกวาวเครือแดง

            ส่วนหัวของกวาวเครือแดงมีสารไฟโตแอนโดรเจน แล้วก็ไอโซฟลาโอ้อวดลิกแนน 2 ประเภท อาทิเช่น Mebicarpin (carpin 3-hydroxy-9methoxypterocarpan); สารกรุ๊ปฟลาโวนอยด์ ดังเช่นว่า butenin; formononetin (7-hydroxy_-methoxy-isoflavone); (7,4_-dimethoxyisoflayone); 5,4_-dihydroxy-7-methoxy-isoflavone, 7-hydroxy-6,4_-dimethoxyisoflavone

แอนโทไซยานินมีค่าการดูดกลืนแสงสว่างในตอนคลื่น  510-540นาโนเมตร  สารละลายแอนโทไซยานินมีความเคลื่อนไหวสีตามค่าความเป็นด่าง (pH) ต่ำจะมีสีแดง pH ปานกลางจะมีสีน้ำเงินม่วงและก็เมื่อ pH สูงจะมีสีเหลืองซีดเซียว

สรรพคุณกวาวเครือแดง

  • หัวกวาวเครือแดง รสเย็นเบื่อเมา  บำรุงเนื้อหนังให้เต่งตึง  บำรุงสุขภาพ  เพิ่มจำนวนน้ำอสุจิ เป็นยาอายุวัฒนะ

แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย

  • รากกวาวเครือแดง แก้ลมอัมพาต  บำรุงโลหิต  ผสมกับรากสมุนไพรอื่นอีก 8 ชนิดเรียกว่า  พิกัดนวโลหะ  แก้โรคลมที่เป็นพิษ  แก้ริดสีดวง  ทำลายพยาธิ  ดับพิษ  ถอนพิษไข้  สมานลำไส้
  • เปลือกเถากวาวเครือแดง รสเย็นเบื่อเมา  แก้พิษงู

ผลดีกวาวเครือแดง

ฤทธิ์ต่อระบบขยายพันธุ์  การศึกษาในอาสาสมัครเพศชาย 17 คน อายุระหว่าง 30 – 70 ปี ที่มีลักษณะอาการหย่อนยานสมรรถนะทางเพศขั้นต่ำ 6 เดือน  ให้กินกวาวเครือแดงขนาด 250 มิลลิกรัม/แคปซูล วันละ 4 แคปซูล ตรงเวลา 3 เดือน ผลการศึกษาวิจัยพบว่าระดับฮอร์โมน testosterone ไม่ต่างอะไรจากกลุ่มควบคุม  แต่ผลจาการตอบแบบสำรวจเกี่ยวกับดรรชนีชี้วัดสมรรถนะทางเพศ  จากอาสาสมัครพบว่าทำให้ความสามารถทางเพศดีขึ้น  82.4 % ดังนั้น กวาวเครือแดงจึงช่วยฟื้นฟูผู้เจ็บป่วยโรคเสื่อมความสามารถทางเพศได้ และไม่พบการเกิดพิษ

รูปแบบและขนาดวิธีใช้กวาวเครือแดง

หน่วยงานของกินรวมทั้งยาของไทย  เจาะจงขนาดและวิธีการใช้ในการกินกวาวเครือแดง  ไม่เกิน  2 มก.  ต่อน้ำหนักตัว  1  โล  ต่อวัน

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของกวาวเครือแดง

ฤทธิ์ต่อระบบขยายพันธุ์  การทดลองป้อนกวาวเครือแดงในรูปผงป่นละลายน้ำ  แล้วก็สารสกัดเอทานอล  ให้แก่หนูแรทเพศผู้  ความเข้มข้น 0.25 , 0.5 รวมทั้ง 5 มิลลิกรัม/มล.  พบว่าหนูแรทที่ได้รับผงกวาวเครือแดงแบบละลายน้ำเข้มข้น 0.5 และ 5 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร เป็นเวลา  21  วัน  ทำให้น้ำหนักตัวของหนูแรท  และจำนวนอสุจิมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ  รวมทั้งหนูแรทที่ได้รับสารสกัดเอทานอลเข้มข้น 5 มก./มิลลิลิตร 224 ชั่วโมง มีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles ต่อมลูกหมาก  และก็ความยาวขององคชาติ  นำมาซึ่งการทำให้หนูแรทมีความประพฤติปฏิบัติการสิบชนิดเยอะขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อศึกษาต่อไปถึงระยะ 42 วัน พบว่าหนูแรทที่ได้รับผงกวาวเครือแดงแบบละลายน้ำ มีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles ต่อมลูกหมาก และความยาวขององคชาติ  และก็การกระทำการขยายพันธุ์มากเพิ่มขึ้น  แต่หนูกรุ๊ปที่ได้รับสารสกัดเอทานอล  กลับมีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles  ต่ำลง  การศึกษาเล่าเรียนผลของกวาวเครือแดงในระยะยาว  แล้วก็ในจำนวนสารสกัดที่มากขึ้น  พบว่าทำให้ระดับฮอร์โมน testosterone ของหนูแรทลดน้อยลง  และก็ปริมาณเอนไซม์ตับสูงมากขึ้น  ฉะนั้นการกินกวาวเครือแดงมากจนเกินความจำเป็น อาจทำให้กำเนิดพิษต่อตับได้

การศึกษาทางพิษวิทยากวาวเครือแดง

การศึกษาเล่าเรียนพิษครึ่งเรื้อรังในหนูวิสตาร์เพศผู้โดยป้อนผงกวาวเครือแดงในขนาด 10 , 100 , 150 และก็ 200  มก./กก/วัน  ตรงเวลา 90 วัน  พบว่าหนูที่รับในขนาด   150  มก./กก/วัน  น้ำหนักของม้ามเพิ่มขึ้น ระดับเอนไซม์ alkalinephosphatase (ALP) รวมทั้ง aspartate aminotransferase (AST) มากขึ้น หนูที่ได้รับขนาด 200 มก./กก/วัน พบว่ามีเม็ดเลือดขาวประเภท neutrophil ต่ำลง ส่วนเม็ดเลือดขาวจำพวก eosinophil ระดับ serum creatinine  น้อยลงระดับฮอร์โมน testosterone ต่ำลง ฉะนั้นควรต้องรอบคอบการใช้ในขนาดสูงเนื่องจากว่าอาจจะก่อให้กำเนิดอาการอันไม่ประสงค์ต่างๆได้

ข้อแนะนำข้อควรระวัง

พืชประเภทนี้มีฤทธิ์เป็นยา เหมือนกับกวาวเครือขาว แต่ว่ามีพิษมากกว่า  หากกินมากมายอาจก่อให้เกิดอันตรายได้อาจจะส่งผลให้เมาคลื่นไส้อ้วก.และเป็นพิษเมามากกว่ากวาวเครือขาว

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ประโยชน์กวาวเครือเเดง

ข้อเเนะนำ/ข้อพึงระวังสมุนไพรถั่งเช่า

ถั่งเช่า ประโยชน์สรรพคุณ และงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร  ถั่งเช่า
ชื่ออื่นๆ ตังถั่งเช่า (dong Chong Cao) ,ตังถั่งแห่เช่า (dong Chong Xia Cao), หญ้าหนอน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ophiocord yceps  sinensis

ถิ่นกำเนิด

ถั่งเช่าพบได้ แถบทุ่งหญ้าประเทศจีน (ธิเบต) , เนปาล , ภูฎาน ในระดับความสูง 10000 -12000 ฟุต จากระดับน้ำทะเล  แต่ในปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยง  ส่วนใหญ่เพาะเลี้ยงในบริเวณภาคใต้ของมณฑลชิงไห่ , เขตซานโตวในธิเบต   มณฑลเสฉาน   ยูนนาน   และกุ้ยโจว 

ลักษณะทั่วไปของถั่งเช่า

ถั่งเช่า ที่เรียกว่าหญ้าหนอน เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้ประกอบไปด้วย 2 ส่วน ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นต้นหญ้า คือ ส่วนที่เป็นตัวหนอน  ตัวหนอนของผีเสื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ Hepialus  armoricanus Oberthiir  แล้วก็บนตัวหนอนมีเห็ดประเภทหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ Cordyceps sinensis (Berk.) Saec. หนอนประเภทนี้ในช่วงฤดูหนาวจะฝังตัวจำศีลอยู่ใต้ดินภูเขาหิมะ  เมื่อน้ำแข็งเริ่มละลาย  สปอร์เห็ดจะพัดไปกับน้ำแข็งที่ละลาย แล้วไปตกที่พื้นดิน จากนนั้นตัวหนอนพวกนี้ก็จะรับประทานสปอร์ รวมทั้งเมื่อหน้าร้อนสปอร์ก็เริ่มเติบโตเป็นเส้นใยโดยอาศัยการดูดสารอาหารและก็แร่ธาตุจากตัวหนอนนั้น เส้นใยแตกออกออกมาจากห้องของตัวหนอน รวมทั้งแตกหน่อออกมาจากปากของมัน เห็ดกลุ่มนี้ต้องการแดดมันจึงแตกออกขึ้นสู่พื้นดิน  รูปลักษณะข้างนอกคล้ายไม้กระบอก ส่วนตัวหนอนเองก็จะเบาๆตายไป อยู่ในรูปแบบของหนอนตามซาก  เพราะฉะนั้น “ถั่งเช่า” ที่ใช้สำหรับในการทำเป็นยาก็คือ ตัวหนอนรวมทั้งเห็ดที่แห้งแล้วนั่นเอง  โดยถั่งเช่าที่มีคุณภาพดี  ตัวหนอนต้องมีสีเหลืองผ่องใส  แล้วก็มีความยาว ขนาดใหญ่สมบูรณ์ ด้านหน้าตัดมีสีขาวปนเหลือง  แล้วก็ส่วนที่เป็นรา มีสีน้ำตาลเข้ม

การขยายพันธุ์ของถั่งเช่า

  • เตรียมขวดแก้ว
  • ตระเตรียมสารอาหารสำหรับเชื้อเห็ดถั่งเช่าสีทองเป็นข้าวสังข์หยด , ปลายข้าว , ข้าวโพด . ถั่วเขียว , ถั่วเหลือง , กากถั่วเหลืองรำข้าว , ตัวหนอนไหม(ดักแด้)(บด) เพื่อมาเป็นแหล่งโปรตีน ถ้าตอนไหนไม่มีหนอนไหม ก็ให้ใช้ไข่แทน
  • นำน้ำเปล่าที่ต้มกับมันฝรั่ง , ข้าวโพดอ่อน , ไข่ แล้วนำไปเพิ่มเติมในขวดที่ใส่อาหารไว้
  • นำไปนึ่ง ในหม้อนึ่งความดัน ที่อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียส , ด้วยความดันที่ 15 ปอนด์/ตารางนิ้ว ตรงเวลา 30 นาที ในกรณีที่นึ่งด้วยลังถึง ให้นึ่งนานตรงเวลา 30 – 40 นาที จากเมื่อน้ำเดือด , แล้วเอามาพักไว้ 1 วัน , แล้วนำมานึ่งแบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง
  • หลังจากนั้นนำไปเขี่ยใส่เชื้อเห็ด ลงในขวดสารอาหาร แล้วก็ค่อยนำไปบ่งเชื้ออีก 2 อาทิตย์ ในที่มืด
  • แล้วหลังจากนั้นเอามาเลี้ยงต่อในที่ ควบคุมอุณหภูมิ ให้มีความเย็น 18 องศา ต่ออีก 2 – 3 เดือน จนเห็ดขึ้นเต็มกำลังก็เลยเก็บผลผลิตได้

องค์ประกอบทางเคมีของถั่งเช่า

ถั่งเช่ามีองค์ประกอบทางเคมีที่สำคัญคือ สารแมนนิทอล  (manniton) หรือกรดคอร์ดิเซพิก (cordycepic acid) มีปริมาณร้อยละ 7 – 29 (ต่างกันในระยะเจริญวัยต่างๆของดอกเห็ด) และก็สารคอร์ดิเซพิน (cordycepin) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของสารอะดีโนซีน (adenosine) นอกนั้นยังเจอสารกลุ่มนิวคลีโอไซค์ (nucleosides) โปรตีน พอลิแซ็กคาไรค์ (polysaccharides) ไขมันสเตอรอคอยล (syerols) วิตามิน แร่ปริมาณน้อย เป็นต้น

สรรพคุณถั่งเช่า

  • ช่วยเสริมสมรรถนะทางเพศ มีฤทธิ์บำรุงกำลังทางเพศ ช่วยทำให้น้ำเชื้อแข็งแรก เนื่องจากการกินถั่งเช่าจะนำมาซึ่งการทำให้มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศมากขึ้น ถั่งเช่าสามารถช่วยเพิ่มปริมาณของสเปิร์มในน้ำอสุจิได้ โดยจากการศึกษาเล่าเรียนในเพศชาย 22 คนพบว่าเมื่อใช้ถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมแล้ว จำนวนของสเปิร์มในน้ำอสุจิเพิ่มขึ้น 33% ทั้งยังลดปริมาณสเปิร์มที่มีความผิดธรรมดาลงได้ถึง 29% และเมื่อศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติมก็พบว่าถั่งเช่าสามารถช่วยเพิ่มความปรารถนาทางเพศได้ 66 – 86% ทั้งยังยังมีคุณลักษณะสำหรับในการปกป้องและเสริมสร้างแนวทางการทำงานของต่อมหมวกไต แล้วก็เพิ่มจังหวะที่สเปิร์มจะกำเนิดได้
  • ช่วยทำให้ปรับรูปแบบการทำงานของหัวใจ ถั่งเช่า มีสรรพคุณช่วยปรับอัตราการเต้นของหัวใจให้ปกติได้ ทั้งยังช่วยทุเลาอาการหัวใจขาดออกซิเจน รวมทั้งเพิ่มออกซิเจนให้หัวใจได้
  • สร้างเสริมการทำงานของระบบภูมิต้านทาน ถั่งเช่ามีคุณประโยชน์ช่วยปรับให้ปรุงลักษณะการทำงานของระบบภูมิต้านทานให้ปกติ ช่วยให้ร่างกายสร้างเซลล์ภูมิต้านทานเพิ่มมากขึ้น
  • ต่อต้านโรคมะเร็ง ถั่งเช่าก็ยังมีฤทธิ์ในการต่อต้านโรคมะเร็ง โดยสารคอร์ไดเซปิน (Codycepin) ที่อยู่ในถั่งเช่านับว่าเป็นสารที่มีความสำคัญสำหรับในการต้านทานการเกิดมะเร็ง คุ้มครองป้องกันการเกิดและก็การแพร่ของเนื้อร้าย
  • ลดไขมันในเลือด ถั่งเช่ามีคุณประโยชน์ควบคุมระดับไขมันในเลือด ลดคอเลสเตอรอล แล้วก็ตรีกลีเซอร์ไรด์ ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคภัยอื่นๆ
  • ฟื้นฟูการทำงานของไต สำหรับคนเจ็บโรคไตเรื้อรัง การกินถั่งเช่าจะช่วยบรรเทาอาการลง แล้วก็ทำให้สุขภาพไตดีขึ้น ทั้งยังยังลดความเสียหายของไตที่เกิดขึ้นจากสารพิษตกค้างได้
  • เสริมสร้างหลักการทำงานของตับ การกินถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมจะช่วยลดผลกระทบจากพิษ และก็คุ้มครองป้องกันการเกิดพังทลายพืดในตับ สารต้านอนุมูลอิสระก็ยังเข้าไปทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นหลักการทำงานของระบบภูมิต้านทาน ลดความเลี่ยงสำหรับการกำเนิดโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ด้วย
  • บำรุงเลือด สารที่อยู่ในถั่งเช่าก็ยังช่วยสร้างเสริมการทำงานของระบบโลหิต ทำให้ร่างกายสร้างไขกระดูกเยอะขึ้นซึ่งทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำในจำนวนที่พอเพียงต่อสถาพทางร่างกาย
  • ลดระดับน้ำตาลในเลือด ถั่งเช่านับว่าเป็นสมุนไพรอีกประเภทที่ช่วยลดน้ำตาลได้ โดยมีการศึกษาพบว่าการรับประทานถั่งเช่าวันละ 3 กรัม จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ถึง 95%

รูปแบบและขนาดวิธีใช้ถั่งเช่า

ขนาดบริโภคของผู้ใหญ่ (แก่กว่า 18 ปี) ในทุกๆวัน โดยประมาณ 3 – 9 กรัม

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของถั่งเช่า

มีรายงานการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของถั่งเช่าเยอะมาก ทั้งฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิต้านทาน ต่อต้านโรคมะเร็งเพิ่มประสิทธิภาพรูปแบบการทำงานของหัวใจแล้วก็เส้นโลหิตคุ้มครองปกป้องไตและตับ ต้านทานอนุมูลอิสระ เป็นต้น

  • ฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิต้านทาน เมื่อให้สารกรุ๊ปพอลิแซ็กคาไรด์ที่แยกได้จากถั่งเช่าแก่หนูเมาส์โดยฉีดเข้าหลอดโลหิตดำในขนาด 35 มิลลิกรัม/กก. เป็นเวลา 5 วัน ศึกษาเล่าเรียนเภสัชจลนลานศาสตร์ของสารดังที่กล่าวถึงแล้วในหนูเมาส์ต่อระบบภูมิคุ้มกันเทียบกับกรุ๊ปควบคุม พบว่าสารพอลิแซ็กคาไรด์แต่ละชนิดสามารถเพิ่มประสิทธิสำหรับในการสนองตอบของระบบภูมิต้านทานดรรชนีม้าม (spleen index) ดัชนีนิไทมัส (thymus index) และก็เพิ่มประสิทธิภาพการกลืนรับประทานของเซลล์แมคโครฟาจ (macrophages)
  • ฤทธิ์ต้านทานมะเร็ง เมื่อให้ถั่งเช่าแก่หนูเมาส์ในขนาด 50 มก./กก. พบว่ามีฤทธิ์ยั้งเซลล์ Hela โดยมีอัตราการเจริญเติบโต ดรรชนีทิคส์ (mitotic) ความรู้ความเข้าใจสำหรับในการเจริญเติบโตของไขมันส่วนนุ่มต่ำลงยิ่งกว่ากลุ่มควบคุม ตามหน้าที่ที่ถูกทำลายแจ่มแจ้งที่สุดเป็นนิวเคลียส นอกเหนือจากนั้นยังพบว่าถั่งเช่าในขนาด 50 มก./กิโล มีฤทธิ์ยั้งเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวหนูเม้าส์ รวมทั้งมีฤทธิ์ต่อต้านเนื้องอกรวมทั้งยับยั้งการแพร่ระบาดตามธรรมชาติของโรคมะเร็งปอดหนู่เมาส์
  • ผลต่อระบบหัวใจและก็หลอดเลือด มีรายงานการศึกษาเล่าเรียนในเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่แยกจากกายหนูแรท  โดยใช้เซลล์ myocytes ของหนูแรททารก สังเกตกลุ่มเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจวาดรูปเซลล์ pollex โดยใช้ตัวแปลงสัญญาณจากแสงสว่างพบว่าถั่งเช่าในขนาด 0.66  มก./มิลลิลิตร สามารถชะลออัตราการเต้นของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ pollex ได้ อีกการทดสอบหนึ่งพบว่าสารสกัด 70% แอลกอฮอล์จากเส้นใยเห็ดของถั่งเช่ามีฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนของเลือดหมาที่ถูกดมยาสลบและลดความดันโลหิต
  • ฤทธิ์ป้องกันไต มีรายงานการเล่าเรียนในหนูแรทที่ได้รับยาไซโคลสปอริน (cyclosporine) ซึ่งเป็นพิษต่อไตจำพวกทันควัน พบว่าถั่งเช่าสามารถลดพิษของยาไซโคลสปอรินที่มีต่อไต และลดพิษของสมุนไพรเหลยกงเถิง
  • ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ มีกล่าวว่าสารสกัดถั่งเช่ามีฤทธิ์ชะลอความแก่ของหนูถีบจักรที่ถูกรั้งนำด้วย ดี-กาแล็กโตสโดยถั่งเช่าช่วยเพิ่มความทรงจำในหนูแก่ ทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นรูปแบบการทำงานของตับ สมอง เม็ดเลือดแดง โปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีซุปเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเตส (super oxide dismutase; SOD) และเลือดทั้งหมดทั้งปวง ลดระดับเอนโซม์โมโนเอมีนออกซิเดส (malondiadehyde; MDA) ในตับและสมอง

การศึกษาทางพิษวิทยาของถั่งเช่า 

มีรายงานการเรียนความเป็นพิษของถั่งเช่า พบว่าขนาดสูงสุดของถั่งเช่าที่หนูเมาส์สามารถทนได้คือ 45 กรัม/กิโลกรัม  หรือราวๆ 250 เท่าของขนาดที่ใช้ในคน เมื่อให้สารสกัดถั่งเช่าโดยฉีดเข้าท้องหนูเมาส์  ขนาดที่ทำให้หนูตายปริมาณร้อยละ 5 (LD 50) มีค่าเท่ากับ 27.1 กรัม/กก. เมื่อได้รับยาเกินขนาดจะมีลักษณะเริ่มต้นด้วยการยับยั้งทั่วไป และก็ตามด้วยการกระตุ้นทั่วๆไป กระตุก ชัก แล้วก็กดระบบทางเท้าหายใจ ยิ่งไปกว่านี้ยังพบว่าถั่งเช่าไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน และไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อการเจริญเติบโต ไม่มีฤทธิ์ทำให้กำเนิดทารกวิรูป ในหนูเมาส์

ข้อแนะนำ ข้อควรระวัง

  • ควรจะระวังการใช้ในคนป่วยโรคเบาหวาน เนื่องจากว่าถั่งเช่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด จะไปเสริมฤทธิ์กับยาลดน้ำตาลในเลือด
  • ควรระวังการใช้ในคนเจ็บที่ได้รับยากลุ่มคุ้มครองการยึดกรุ๊ปของเกล็ดเลือด เพราะถั่งเช่ามีฤทธิ์ต้านทานการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด
  • ควรจะระวังการใช้ในคนไข้ที่ได้รับยากดภูมิต้านทาน ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะถั่งเช่ามีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

ข้อเเนะนำ/ข้องพึงระวังสมุนไพรเเปะก๊วย

แปะก๊วย ประโยชน์สรรพคุณ และงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร แปะก๊วย
ชื่ออื่นๆ หยาเจียว (จีน) อิโจว(ญี่ปุ่น)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Gingko biloba L.
ชื่อวงศ์ Ginkgoaceae

ถิ่นกำเนิดแปะก๊วย

แปะก๊วยมีถิ่นกำเนิดอยู่แถบตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองจีน เช้าใจกันว่าเป็นพืชที่เก่าแก่ที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง ที่เหลืออยู่ในประเทศจีน ซึ่งเป็นพืชที่หายากแล้วก็ใกล้จะสิ้นพันธุ์ โดยเจออยู่ในธรรมชาติไม่กี่ต้น ถัดมามีการนำต้นแปะก๊วยไปปลูกเอาไว้ภายในประเทศญี่ปุ่นรวมทั้งเกาหลี รวมทั้งในราวศตวรรษที่ 18 ได้มีการปลูกในทวีปยุโรป ปัจจุบันนี้ต้นแปะก๊วยเป็นไม้ให้ความร่มเงาตามแถวถนนรวมทั้งสวนสาธารณะทั่วๆไปทั่งในยุโรป ออสเตรเลีย แล้วก็อเมริกาลักษณะทั่วไป ต้นแปะก๊วยเป็นไม้ยื่นต้นขนาดใหญ่บางทีอาจสูงได้ถึง 35 – 40 เมตร ต้นโตสุดกำลังมีเส้นรอบวงประมาณ 3 – 4 เมตร และบางทีอาจโตได้ถึง 7 เมตร ใบเป็นใบเดียว ลักษณะซึ่งคล้ายพัด กว้าง 5 – 10 ซม. ก้านใบยาว ใบแก่มีรอยหยักเว้ากึ่งกลาง ใบออกเวียนสลับกัน หรือออกเป็นกระจุกตามปลายกิ่ง เส้นใบขนานกันจำนวนไม่ใช่น้อย ใบอ่อนเป็นสีเขียว สามารถเปลี่ยนเป็นสีแก่ได้เมื่อโตสุดกำลัง และก็เป็นสีเหลืองในฤดูใบไม้ร่วง ต้นแปะก๊วยจะมีต้นตัวผู้ และก็ต้นตัวเมีย ซึ่งลักษณะแตกต่าง

การขยายพันธุ์แปะก๊วย

เดี๋ยวนี้ขยายพันธุ์โดยกรรมวิธี เพาะเม็ด , ปักชำ , ทาบกิ่ง โดยวิธีการเพาะเม็ด มีดังนี้

  • ล้างเมล็ดแปะก๊วยในน้ำอุ่นให้สะอาดเพื่อไม่ให้กำเนิดเชื้อรา
  • หมกเม็ดที่ล้างแล้ว ในขุยมะพร้าวหรือเถ้าถ่านแกลบในถุงซิบล็อก ปิดถุงให้สนิท แล้วค่อยนำไปเก็บไว้ในตู้แช่เย็น (ช่องเก็บผัก) ราว 12 อาทิตย์ ตอนนี้ให้คอยหมั่นตรวจดูว่ามีต้นอ่อนเริ่มแตกออกมาหรือยัง หากมีเม็ดไหน 

งอกก่อน 12 อาทิตย์ ก็แยกออกมาเพาะก่อน

  • ให้นำเมล็ดที่แตกหน่อก่อนมาเพาะในถุงชำ ใช้ดินถุงที่ขายทั่วๆไป ฝังเม็ดแปะก๊วยลงไปโดยประมาณ 2 นิ้ว วางถุงเพาะชำให้โดนแดดอ่อนๆให้ดินที่

เพาะเม็ดชื้ออยู่ตลอดเวลาแต่ว่าอย่าให้แฉะ ต่อจากนั้นก็คอยให้ต้นเขาโตขึ้นมาก่อนที่จะนำไปปลูกลงดิน

  • สำหรับเม็ดที่ไม่แตกหน่อก่อนที่จะครบกำหนด พบครบ 12 อาทิตย์ในตู้เย็นก็ออกมาเพาะต่อตามข้อ 3

องค์ประกอบทางเคมีของแปะก๊วย

ใบแปะก๊วย มีสารประกอบทางเคมีเยอะมาก แต่ที่สำคัญมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ เทอร์ปีนอย์ (terpenoids) มีสารประกอบที่สำคัญชื่อ กิงโกไลด์ (ginkgolide) และมีบิโลบาไลด์ (bilobalide) แล้วก็อีกกรุ๊ปเป็น ฟลา-โม้นอยด์ (flavonoids) ยิ่งกว่านั้นยังเจอในพวกสารสตีรอยด์ (steroide) อนุพันธ์กรดอินทรีย์และก็น้ำตาล

สรรพคุณแปะก๊วย

ฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และก็ยังสามารถชะลอความแก่ได้ ฤทธิ์การยับยั้งการยึดตัวของ เกล็ดเลือดทำให้การไหลเวียนของเลือดในเส้นโลหิตแดง หลอดเลือดดำ และก็เส้นเลือดฝอย ฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ทำให้ความสามารถสำหรับเพื่อการดำเนินงานและการตัดสินใจ ฤทธิ์กระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดไหลฉีดไปตามผิวหนังเจริญ ฤทธิ์เพิ่มความรู้ความเข้าใจสำหรับการเรียนรู้ ฤทธิ์ยับยั้งการเกิดไลปิดเพอคอยกไซด์ ฤทธิ์ช่วยให้ความจำดีขึ้น ฤทธิ์ทำให้เส้นโลหิตหดตัว ฤทธิ์เพิ่มการมองเห็น แล้วก็ฤทธิ์ยั้งการเสื่อมของสมอง สร้างเสริมสมรรถภาพทางเพศ จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น แก้ปัญหาเลือดไปไหลเวียนในรอบๆของลับไม่สบาย ทุเลาอาหารของโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากแปะก๊วยจำเข่าไปช่วยเพิ่มระบบไหลเวียนเลือดในสมอง ทำให้ร่างกายสามารถผลิตฮอร์โมนโดปามีนได้มากขึ้น แล้วก็นำส่งไปยังอวัยวะต่างๆภายในร่างกายได้อย่างเพียงพอ

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • สารสกัดแปะก๊วยแห้ง –ใช้ 120 – 240 มก. แบ่งให้วันละ 2 – 3 ครั้ง สำหรับอาการ dementin โดยให้ยาติดต่อกัน 8 สัปดาห์ แม้กระนั้นไม่เกิน 3 เดือน
  • สารสกัดแปะก๊วยแห้ง – ใช้ 120 – 160 มิลลิกรัม แบ่งให้วันละ 2 – 3 ครั้ง สำหรับรักษาอาการเส้นเลือดแดงส่วนปลายประสาทอุดตัน รวมทั้ง ความงงงัน มีเสียงในหู โดยให้ยาติดต่อกัน 6 – 8 อาทิตย์
  • สำหรับในการใช้เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ให้ใช้รับประทานไม่เกินวันละ 120 มิลลิกรัม

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของแปะก๊วย

มีการทดสอบแปะก๊วยกับคนเจ็บที่มีอาการผิดพลาดเรื้อรังของสมองส่วนซีรีบรัม และก็เส้นเลือดพบว่า ในแปะก๊วยช่วยให้มีการวิวัฒนาการทางความจำความนึกคิด นอนหลับได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ส่วนคนไข้โรคอัลไซเมอร์นั้น ในประเทศสหรัฐอเมริกา ใบแปะก๊วยก็ถูกให้อย่างมากมายเพื่อเป็นยารักษาอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยมีการทดลองในปี 1994 ทดสอบให้ใบแปะก๊วยกับกรุ๊ปผู้ป่วยอัลไซเมอร์ พบว่าคนป่วยมีความจำ และสมาธิได้ดีขึ้น

ในปี 1996 ได้มีการทดสอบพบว่าใบแปะก๊วยมีประสิทธิภาพช่วยป้องกันคนที่มีลักษณะ AMS (Asthma & AcutE Mountain Sickness) หรือภาวการณ์ไม่ดีเหมือนปรกติของการหายใจขณะขึ้นสู่ที่สูงได้ ส่วนคนภายในกลุ่มชนที่เผชิญปัญหาหูอื้ออยู่เป็นประจำ การกินอาหารใบแปะก๊วยยังช่วยลดสภาวะหูอื้อลงได้อีกด้วย

การศึกษาทางพิษวิทยาของแปะก๊วย

การทดสอบความเป็นพิษรุนแรงของแปะก๊วยในหนู พบว่าให้ค่า LD50 พอๆกับ 7725 มก./กิโลกรัมน้ำหนักตัว ไม่เจอผลที่นำมาซึ่งการก่อกลายพันธุ์ (mutagen) หรือนำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคมะเร็ง (carcinogen) และไม่เป็นพิษต่อ ระบบอวัยวะสืบพันธุ์

ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง

  • สาร Gingkolide จากใบแปะก๊วยมีฤทธิ์ยีนส์การยึดดึงของเกล็ดเลือด ถ้าหากกินยาแอสไพรินอยู่ประจำ หรือ กินยา Gingkolide อยู่อาจมีผลกระทบของการที่เลือดไหลไม่หยุด
  • หากกินสารสกัดจากในแปะก๊วยในจำนวนมาก อาจจะก่อให้เกิดของกินคลื่นไส้ อ้วก ท้องเดิน และมีของกินกระวายกระวน
  • สำหรับหญิงตั้งครรภ์และก็ให้นมบุตร ยังไม่มีงานศึกษาเรียนรู้วิจัยพิมพ์ถึงความปลอดภัย หรือผลที่จะเกิดกับเด็กแรกเกิด

อีกทั้งถ้าหากรับประทานสารสกัดแปะก๊วยมากเกินไปอาจมีผลข้างเคียงทำให้ปวดหัว มึน เวียนหัว ทางเดินอาหารปั่นป่วน หรือบางทีอาจกำเนิดอาการแพ้ทางผิวหนัง ระบบหายใจและหลอดเลือดเปลี่ยนไปจากปกติ ง่วงซึม ระบบการนอนหลับก็ป่วนปั่นไปด้วย

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : เเปะก๊วย

ถิ่นกำเนิดเเละที่มาสมุนไพรกวาวเครือเเดง

กวาวเครือแดง ประโยชน์สรรพคุณและงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร  กวาวเครือแดง
ชื่อประจำถิ่น  กวาวเครือ (เหนือ)   จานเครือ  (อีสาน)   ตานจอมทอง  (ชุมพร)  โพตะกุ , โพมือ  (กะเหรี่ยง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Butea superba  Roxb
ชื่อวงศ์  Leguminosae  วงค์ย่อย   Papilonaceae

ถิ่นกำเนิดกวาวเครือเเดง

พบอยู่มากมายในรอบๆที่ราบตีนเขา และก็ เชิงเขาป่าเต็งรัง  ภูเขาหินปูน  ในรอบๆที่มีต้นไม้ต้นไม่หนาแน่นนัก  พบได้ทั่วไปอยู่เป็นกลุ่มๆภายในป่า  อาจเป็นเพราะเนื่องจากปัจจัย เป็น ติดฝักได้น้อย  ฝักมีขนาดใหญ่ ทำให้แพร่ระบาดตำแหน่งเดิมได้ยาก  ต้นกวาวเครือแดง ที่สร้างพุ่มไม้เอง จะมีลักษณะเตี้ย  ส่วนต้นที่เกี่ยวพันกับต้นไม้ใหญ่จะแตกกิ่งไปถึงยอดไม้

ลักษณะทั่วไปของกวาวเครือแดง

กวาวเครือแดงอยู่ในจำพวกไม้เลื้อย เป็นเถาวัลย์ เนื้อแข็ง มักชอบพาดขึ้นกับต้นไม้ใหญ่

  • ใบกวาวเครือแดง ใบใหญ่คล้ายใบต้นทองกวาว  แม้กระนั้นใบใหญ่มากยิ่งกว่า
  • ดอกกวาวเครือแดง ดอกใหญ่คล้ายดอกแคแสด  แม้กระนั้นเป็นพวงระย้าราวกับดอกทองกวาว
  • หัวกวาวเครือแดง มีหลายขนาดลักษณะทรงกระบอก เมื่อสะกิดที่เปลือก จะมียางสีแดง คล้ายเลือดไหลออกมา
  • รากกวาวเครือแดง มีรากกิ่งก้านสาขาขนาดใหญ่  แยกจากเหง้าเลื้อยไปบริเวณหลายเมตร 

การขยายพันธุ์กวาวเครือแดง ทำได้ 3วิธีดังนี้|ดังต่อไปนี้

  • การเพาะเมล็ด โดยการเพาะเมล็ดในกระบะเถ้าแกลบราวๆ 45 วัน นำต้นกล้าที่ได้ ปลูกลงถุงเพาะชำโดยใช้ดิน 2 ส่วน เถ้าแกลบ 1 ส่วน เปลือกมะพร้าว 1 ส่วน ค่า pH ราว 5.5 เมื่อต้นกล้าเจริญวัยได้ 60 วัน จึงนำลงแปลงปลูกที่โล่งแจ้ง  โดยทำด้วยไผ่  หรือปลูกร่วมกับไม้ยืนต้นในขั้นตอนเกษตร อาทิเช่น ไผ่  สัก  ปอสา  หรือไม้ผลอื่นๆ พื้นที่ปลูกควรอยู่สูงขึ้นมากยิ่งกว่าระดับน้ำทะเล  300-900 เมตร
  • การปักชำ นำเถาที่มีข้อมาปักชำในกระบะ หรือถุงที่บรรจุเถ้าแกลบ  เมื่อเถาแตกรากและก็ยอดแข็งแรงก็ดีแล้ว จึงนำลงแปลงปลูกถัดไป
  • การแบ่งหัวต่อต้น หัวของกวาวเครือ ไม่มีตาที่จะแตกเป็นต้นใหม่  จำเป็นจะต้องใช้ส่วนของลำต้นมาต่อเชื่อตามแนวทางการเพาะพันธุ์แบบต่อราก  เลี้ยงกิ่ง (nursed root grafting)  สามารถนำหัวกวาวเครือขนาดเล็ก อายุโดยประมาณ 6 เดือนขึ้นไป  รวมทั้งต้นหรือเถาที่เคยทิ้งไปข้างหลังการเก็บเกี่ยวมาแพร่พันธุ์ได้ หลังการต่อต้นโดยประมาณ 45-60 วัน ก็สามารถนำลงปลูกได้ แล้วก็มีลักษณะเด่นคือสามารถต่อต้นกับหัวผ่านสายพันธุ์ได้

องค์ประกอบทางเคมีของกวาวเครือแดง

            ท่อนหัวของกวาวเครือแดงประกอบด้วยสารไฟโตแอนโดรเจน รวมทั้งไอโซฟลาโวลิกแนน 2 ประเภท ตัวอย่างเช่น Mebicarpin (carpin 3-hydroxy-9methoxypterocarpan); สารกรุ๊ปฟลาโวนอยด์ ดังเช่นว่า butenin; formononetin (7-hydroxy_-methoxy-isoflavone); (7,4_-dimethoxyisoflayone); 5,4_-dihydroxy-7-methoxy-isoflavone, 7-hydroxy-6,4_-dimethoxyisoflavone

แอนโทไซยานินมีค่าการดูดกลืนแสงในตอนคลื่น  510-540นาโนเมตร  สารละลายแอนโทไซยานินมีความเคลื่อนไหวสีตามค่าความเป็นด่าง (pH) ต่ำจะมีสีแดง pH ปานกลางจะมีสีน้ำเงินม่วงรวมทั้งเมื่อ pH สูงจะมีสีเหลืองซีด

สรรพคุณกวาวเครือแดง

  • หัวกวาวเครือแดง รสเย็นเบื่อเมา  บำรุงเนื้อหนังให้เต่งตึง  บำรุงสุขภาพ  เพิ่มจำนวนน้ำอสุจิ เป็นยาอายุวัฒนะ

แก้เมื่อยตามร่างกาย

  • รากกวาวเครือแดง แก้ลมอัมพาต  บำรุงโลหิต  ผสมกับรากสมุนไพรอื่นอีก 8 ประเภทเรียกว่า  พิกัดนวโลหะ  แก้โรคลมที่เป็นพิษ  แก้ริดสีดวง  ทำลายพยาธิ  ดับพิษ  ทำลายพิษไข้  สมานไส้
  • เปลือกเถากวาวเครือแดง รสเย็นเบื่อเมา  แก้พิษงู

ประโยชน์กวาวเครือแดง

ฤทธิ์ต่อระบบแพร่พันธุ์  การเรียนในอาสาสมัครผู้ชาย 17 คน อายุระหว่าง 30 – 70 ปี ที่มีลักษณะอาการหย่อนสมรรถนะทางเพศขั้นต่ำ 6 เดือน  ให้กินกวาวเครือแดงขนาด 250 มิลลิกรัม/แคปซูล วันละ 4 แคปซูล เป็นเวลา 3 เดือน ผลการศึกษาเรียนรู้พบว่าระดับฮอร์โมน testosterone ไม่ได้มีความแตกต่างจากกลุ่มควบคุม  แม้กระนั้นผลจาการตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับดัชนีชี้วัดความสามารถทางเพศ  จากอาสาสมัครพบว่าทำให้สมรรถนะทางเพศ  82.4 % ด้วยเหตุนั้น กวาวเครือแดงก็เลยช่วยฟื้นฟูคนป่วยโรคเสื่อมสมรรถนะทางเพศได้ และไม่พบการเกิดพิษ

รูปแบบและขนาดวิธีใช้กวาวเครือแดง

หน่วยงานอาหารและยาของไทย  กำหนดขนาดและก็การใช้สำหรับในการกินกวาวเครือแดง  ไม่เกิน  2 มิลลิกรัม  ต่อน้ำหนักตัว  1  กิโลกรัม  ต่อวัน

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของกวาวเครือแดง

ฤทธิ์ต่อระบบสืบพันธุ์  การทดลองป้อนกวาวเครือแดงในรูปผงป่นละลายน้ำ  และก็สารสกัดเอทานอล  ให้แก่หนูแรทเพศผู้  ความเข้มข้น 0.25 , 0.5 และก็ 5 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร  พบว่าหนูแรทที่ได้รับผงกวาวเครือแดงแบบละลายน้ำเข้มข้น 0.5 และ 5 มก./มล. ตรงเวลา  21  วัน  ทำให้น้ำหนักตัวของหนูแรท  และปริมาณน้ำอสุจิมากขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ  และหนูแรทที่ได้รับสารสกัดเอทานอลเข้มข้น 5 มก./มิลลิลิตร 224 ชั่วโมง มีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles ต่อมลูกหมาก  และก็ความยาวขององคชาติ  นำมาซึ่งการทำให้หนูแรทมีการกระทำการสิบพันธุ์มากขึ้น  เมื่อศึกษาต่อไปถึงระยะ 42 วัน พบว่าหนูแรทที่ได้รับผงกวาวเครือแดงแบบละลายน้ำ มีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles ต่อมลูกหมาก แล้วก็ความยาวขององคชาติ  รวมทั้งความประพฤติการสืบเผ่าพันธุ์มากยิ่งขึ้น  แต่หนูกรุ๊ปที่ได้รับสารสกัดเอทานอล  กลับมีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles  ลดลง  การเรียนผลของกวาวเครือแดงในระยะยาว  และก็ในปริมาณสารสกัดที่มากขึ้น  พบว่าทำให้ระดับฮอร์โมน testosterone ของหนูแรทน้อยลง  แล้วก็ปริมาณเอนไซม์ตับสูงขึ้น  เพราะฉะนั้นการรับประทานกวาวเครือแดงมากเกินความจำเป็น อาจทำให้กำเนิดพิษต่อตับได้

การศึกษาทางพิษวิทยากวาวเครือแดง

การศึกษาเล่าเรียนพิษครึ่งหนึ่งเรื้อรังในหนูวิสตาร์เพศผู้โดยป้อนผงกวาวเครือแดงในขนาด 10 , 100 , 150 และ 200  มก./กก/วัน  เป็นเวลา 90 วัน  พบว่าหนูที่รับในขนาด   150  มก./กก/วัน  น้ำหนักของม้ามเพิ่มขึ้น ระดับเอนไซม์ alkalinephosphatase (ALP) แล้วก็ aspartate aminotransferase (AST) เพิ่มขึ้น หนูที่ได้รับขนาด 200 มิลลิกรัม/กก/วัน พบว่ามีเม็ดเลือดขาวประเภท neutrophil ต่ำลง ส่วนเม็ดเลือดขาวประเภท eosinophil ระดับ serum creatinine  น้อยลงระดับฮอร์โมน testosterone ลดลง เพราะฉะนั้นจะต้องระมัดระวังการใช้ในขนาดสูงด้วยเหตุว่าอาจจะก่อให้กำเนิดอาการอันไม่ประสงค์ต่างๆได้

ข้อแนะนำข้อควรระวัง

พืชประเภทนี้มีฤทธิ์เป็นยา เช่นเดียวกับกวาวเครือขาว แม้กระนั้นเป็นพิษมากกว่า  แม้รับประทานมากมายบางทีอาจเป็นอันตรายได้อาจส่งผลให้มึนเมาอาเจียนอาเจียน.และก็เป็นพิษเมามากกว่ากวาวเครือขาว

สุดยอดมหัศจรรย์คุณประโยชน์สมุนไพรถั่งเช่า

ถั่งเช่า ประโยชน์สรรพคุณ และงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร  ถั่งเช่า
ชื่ออื่นๆ ตังถั่งเช่า (dong Chong Cao) ,ตังถั่งแห่เช่า (dong Chong Xia Cao), หญ้าหนอน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ophiocord yceps  sinensis

ถิ่นกำเนิด

ถั่งเช่าพบได้ แถบทุ่งหญ้าประเทศจีน (ธิเบต) , เนปาล , ภูฎาน ในระดับความสูง 10000 -12000 ฟุต จากระดับน้ำทะเล  แต่ในปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยง  ส่วนใหญ่เพาะเลี้ยงในบริเวณภาคใต้ของมณฑลชิงไห่ , เขตซานโตวในธิเบต   มณฑลเสฉาน   ยูนนาน   และกุ้ยโจว 

ลักษณะทั่วไปของถั่งเช่า

ถั่งเช่า ที่เรียกว่าหญ้าหนอน เพราะเหตุว่าสมุนไพรจำพวกนี้ประกอบไปด้วย 2 ส่วน หน้าหนาวเป็นหนอน หน้าร้อนเป็นหญ้า เป็น ส่วนที่เป็นตัวหนอน  ตัวหนอนของผีเสื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ Hepialus  armoricanus Oberthiir  รวมทั้งบนตัวหนอนมีเห็ดชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ Cordyceps sinensis (Berk.) Saec. หนอนจำพวกนี้ในช่วงฤดูหนาวจะฝังตัวจำศีลอยู่ใต้ดินภูเขาหิมะ  เมื่อน้ำแข็งเริ่มละลาย  สปอร์เห็ดจะพัดไปกับน้ำแข็งที่ละลาย แล้วไปตกที่พื้นดิน จากนนั้นตัวหนอนกลุ่มนี้ก็จะกินสปอร์ และก็เมื่อหน้าร้อนสปอร์ก็เริ่มเติบโตเป็นเส้นใยโดยอาศัยการดูดสารอาหารและธาตุจากตัวหนอนนั้น เส้นใยแตกหน่อออกจากห้องของตัวหนอน และผลิออกออกมาจากปากของมัน เห็ดกลุ่มนี้อยากได้แสงอาทิตย์มันก็เลยแตกออกขึ้นสู่พื้นดิน  รูปลักษณะภายนอกเหมือนไม้กระบอก ส่วนตัวหนอนเองก็จะเบาๆตายไป อยู่ในลักษณะของหนอนตามซาก  เพราะฉะนั้น “ถั่งเช่า” ที่ใช้สำหรับเพื่อการทำเป็นยาก็เป็น ตัวหนอนและก็เห็ดที่แห้งแล้วนั่นเอง  โดยถั่งเช่าที่มีคุณภาพดี  ตัวหนอนควรมีสีเหลืองแจ่มใส  รวมทั้งมีความยาว ขนาดใหญ่สมบูรณ์ ข้างหน้าตัดมีสีขาวแกมเหลือง  และส่วนที่เป็นรา มีสีน้ำตาลเข้ม

การขยายพันธุ์ของถั่งเช่า

  • เตรียมขวดแก้ว
  • ตระเตรียมสารอาหารสำหรับเชื้อเห็ดถั่งเช่าสีทอง คือ ข้าวสังข์หยด , ปลายข้าว , ข้าวโพด . ถั่วเขียว , ถั่วเหลือง , กากถั่วเหลืองรำข้าว , ตัวหนอนไหม(ดักแด้)(บด) เพื่อมาเป็นแหล่งโปรตีน ถ้าหากช่วงไหนไม่มีหนอนไหม ก็ให้ใช้ไข่แทน
  • นำน้ำที่ต้มกับมันฝรั่ง , ข้าวโพดอ่อน , ไข่ แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปเพิ่มในขวดที่ใส่อาหารไว้
  • นำไปนึ่ง ในหม้อนึ่งความดัน ที่อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียส , ด้วยความดันที่ 15 ปอนด์/ตารางนิ้ว ตรงเวลา 30 นาที ในกรณีที่นึ่งด้วยลังถึง ให้นึ่งนานตรงเวลา 30 – 40 นาที จากเมื่อน้ำเดือด , แล้วนำมาพักไว้ 24 ชั่วโมง , แล้วนำมานึ่งแบบเดิมอีกรอบหนึ่ง
  • แล้วหลังจากนั้นนำไปเขี่ยใส่เชื้อเห็ด ลงในขวดสารอาหาร แล้วค่อยนำไปบ่งเชื้ออีก 2 อาทิตย์ ในที่มืด
  • แล้วต่อจากนั้นนำมาเลี้ยงต่อในที่ ควบคุมอุณหภูมิ ให้มีความเย็น 18 องศา ต่ออีก 2 – 3 เดือน จนเห็ดขึ้นเต็มกำลังจึงเก็บผลผลิตได้

องค์ประกอบทางเคมีของถั่งเช่า

ถั่งเช่ามีส่วนประกอบทางเคมีที่สำคัญเป็น สารแมนนิทอล  (manniton) หรือกรดคอร์ดิเซพิก (cordycepic acid) มีจำนวนร้อยละ 7 – 29 (แตกต่างในระยะเติบโตต่างๆของดอกเห็ด) และสารคอร์ดิเซพิน (cordycepin) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของสารอะดีโนซีน (adenosine) ยิ่งกว่านั้นยังพบสารกลุ่มนิวคลีโอไซค์ (nucleosides) โปรตีน พอลิแซ็กคาไรค์ (polysaccharides) ไขมันสเตอรอล (syerols) วิตามิน แร่ธาตุจำนวนนิดหน่อย ฯลฯ

สรรพคุณถั่งเช่า

  • ช่วยเสริมสมรรถนะทางเพศ มีฤทธิ์บำรุงกำลังทางเพศ ช่วยให้น้ำเชื้อแข็งแรก เพราะเหตุว่าการกินถั่งเช่าจะนำมาซึ่งการทำให้มีเลือดไปเลี้ยงของลับมากขึ้น ถั่งเช่าสามารถช่วยเพิ่มปริมาณของสเปิร์มในน้ำเชื้อได้ โดยจากการเรียนในผู้ชาย 22 คนพบว่าเมื่อใช้ถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมแล้ว ปริมาณของสเปิร์มในน้ำอสุจิมากขึ้น 33% ทั้งยังลดจำนวนสเปิร์มที่มีความผิดปกติลงได้ถึง 29% รวมทั้งเมื่อศึกษาเสริมเติมก็พบว่าถั่งเช่าสามารถช่วยเพิ่มความจำเป็นทางเพศได้ 66 – 86% อีกทั้งยังมีคุณลักษณะสำหรับเพื่อการคุ้มครองและสร้างเสริมรูปแบบการทำงานของต่อมหมวกไต และก็เพิ่มโอกาสที่สเปิร์มจะถือกำเนิดได้
  • ช่วยทำให้ปรับแนวทางการทำงานของหัวใจ ถั่งเช่า มีคุณประโยชน์ช่วยทำให้ปรับอัตราการเต้นของหัวใจให้ปกติได้ ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการหัวใจขาดออกซิเจน และเพิ่มออกซิเจนให้หัวใจได้
  • เสริมสร้างแนวทางการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ถั่งเช่ามีคุณประโยชน์ช่วยทำให้ปรุงหลักการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้เป็นปกติ ช่วยให้ร่างกายสร้างเซลล์ภูมิต้านทานเยอะขึ้นเรื่อยๆ
  • ต้านโรคมะเร็ง ถั่งเช่าก็ยังมีฤทธิ์สำหรับการต้านโรคมะเร็ง โดยสารคอร์ไดเซปิน (Codycepin) ที่อยู่ในถั่งเช่านับว่าเป็นสารที่มีความจำเป็นสำหรับเพื่อการต่อต้านการเกิดมะเร็ง คุ้มครองปกป้องการเกิดแล้วก็การแพร่ระบาดของเนื้อร้าย
  • ลดไขมันในเลือด ถั่งเช่ามีสรรพคุณควบคุมระดับไขมันในเลือด ลดคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอร์ไรด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภัยอื่นๆ
  • ฟื้นฟูการทำงานของไต สำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง การรับประทานถั่งเช่าจะช่วยทุเลาอาการลง แล้วก็ทำให้สุขภาพไตดีขึ้น อีกทั้งยังลดความย่ำแย่ของไตที่เกิดขึ้นจากสารพิษตกค้างได้
  • สร้างเสริมรูปแบบการทำงานของตับ การกินถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมจะช่วยลดผลกระทบจากพิษ และก็คุ้มครองการเกิดพังพืดในตับ สารต้านอนุมูลอิสระก็ยังเข้าไปทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นแนวทางการทำงานของระบบภูมิต้านทาน ลดความหลีกเลี่ยงสำหรับในการเกิดโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ด้วย
  • บำรุงโลหิต สารที่อยู่ในถั่งเช่าก็ยังช่วยสร้างเสริมรูปแบบการทำงานของระบบเลือด ทำให้ร่างกายสร้างไขกระดูกเยอะขึ้นซึ่งทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงรวมทั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกสร้างในปริมาณที่พอเพียงต่อร่างกาย
  • ลดระดับน้ำตาลในเลือด ถั่งเช่านับว่าเป็นสมุนไพรอีกจำพวกที่ช่วยลดน้ำตาลได้ โดยมีการเล่าเรียนพบว่าการกินถั่งเช่าวันละ 3 กรัม จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ถึง 95%

รูปแบบและขนาดวิธีใช้ถั่งเช่า

ขนาดบริโภคของผู้ใหญ่ (อายุมากกว่า 18 ปี) ในแต่ละวัน ประมาณ 3 – 9 กรัม

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของถั่งเช่า

มีรายงานการศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของถั่งเช่ามากไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิต้านทาน ต้านโรคมะเร็งเพิ่มประสิทธิภาพลักษณะการทำงานของหัวใจและก็เส้นโลหิตคุ้มครองปกป้องไตและตับ ต้านทานอนุมูลอิสระ ฯลฯ

  • ฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อให้สารกรุ๊ปพอลิแซ็กคาไรด์ที่แยกได้จากถั่งเช่าแก่หนูเมาส์โดยฉีดเข้าเส้นเลือดดำในขนาด 35 มิลลิกรัม/กก. เป็นเวลา 5 วัน เรียนรู้เภสัชจลนลานศาสตร์ของสารดังกล่าวข้างต้นในหนูเมาส์ต่อระบบภูมิต้านทานเทียบกับกลุ่มควบคุม พบว่าสารพอลิแซ็กคาไรด์แต่ละประเภทสามารถเพิ่มประสิทธิสำหรับในการตอบสนองของระบบภูมิต้านทานดัชนีม้าม (spleen index) ดัชนีนิไทมัส (thymus index) แล้วก็เพิ่มประสิทธิภาพการกลืนกินของเซลล์แมคโครฟาจ (macrophages)
  • ฤทธิ์ต้านโรคมะเร็ง เมื่อให้ถั่งเช่าแก่หนูเมาส์ในขนาด 50 มก./กิโลกรัม พบว่ามีฤทธิ์ยั้งเซลล์ Hela โดยมีอัตราการเจริญเติบโต ดรรชนีทิคส์ (mitotic) ความสามารถสำหรับเพื่อการเติบโตของไขมันส่วนนุ่มต่ำกว่ากลุ่มควบคุม ตามหน้าที่ที่ถูกทำลายกระจ่างแจ้งที่สุดเป็นนิวเคลียส ยิ่งไปกว่านี้ยังพบว่าถั่งเช่าในขนาด 50 มิลลิกรัม/กิโล มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์ของมะเร็งเม็ดเลือดขาวหนูเม้าส์ รวมทั้งมีฤทธิ์ต้านเนื้องอกแล้วก็ยับยั้งการแพร่ตามธรรมชาติของโรคมะเร็งปอดหนู่เมาส์
  • ผลต่อระบบหัวใจแล้วก็เส้นโลหิต มีรายงานการเรียนในเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่แยกจากกายหนูแรท  โดยใช้เซลล์ myocytes ของหนูแรทแรกเกิด พินิจกลุ่มเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจวาดภาพเซลล์ pollex โดยใช้ตัวแปลงสัญญาณจากแสงพบว่าถั่งเช่าในขนาด 0.66  มิลลิกรัม/มิลลิลิตร สามารถชะลออัตราการเต้นของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ pollex ได้ อีกการทดสอบหนึ่งพบว่าสารสกัด 70% แอลกอฮอล์จากเส้นใยเห็ดของถั่งเช่ามีฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตสุนัขที่ถูกดมยาสลบรวมทั้งลดระดับความดันโลหิต
  • ฤทธิ์คุ้มครองป้องกันไต มีรายงานการศึกษาเล่าเรียนในหนูแรทที่ได้รับยาไซโคลสปอริน (cyclosporine) ซึ่งเป็นพิษต่อไตชนิดเฉียบพลัน พบว่าถั่งเช่าสามารถลดพิษของยาไซโคลสปอรินที่มีต่อไต รวมถึงลดพิษของสมุนไพรเหลยกงเถิง
  • ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ มีรายงานว่าสารสกัดถั่งเช่ามีฤทธิ์ชะลอความแก่ของหนูถีบจักรที่ถูกรั้งนำด้วย ดี-กาแล็กโตสโดยถั่งเช่าช่วยเพิ่มความทรงจำในหนูแก่ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับ สมอง เม็ดเลือดแดง โปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีซุปเปอร์ออกไซด์ดิสไม่วเตส (super oxide dismutase; SOD) และเลือดทั้งผอง ลดระดับเอนโซม์โมโนเอมีนออกสิเดส (malondiadehyde; MDA) ในตับและสมอง

การศึกษาทางพิษวิทยาของถั่งเช่า 

มีรายงานการเรียนรู้ความเป็นพิษของถั่งเช่า พบว่าขนาดสูงสุดของถั่งเช่าที่หนูเมาส์สามารถทนได้เป็น 45 กรัม/กิโลกรัม  หรือราวๆ 250 เท่าของขนาดที่ใช้ในคน เมื่อให้สารสกัดถั่งเช่าโดยฉีดเข้าท้องหนูเมาส์  ขนาดที่ทำให้หนูตายจำนวนร้อยละ 5 (LD 50) มีค่าเท่ากับ 27.1 กรัม/โล เมื่อได้รับยาเกินขนาดจะมีอาการเริ่มต้นด้วยการหยุดยั้งทั่วๆไป และก็ตามด้วยการกระตุ้นทั่วๆไป กระตุก ชัก แล้วก็กดระบบฟุตบาทหายใจ นอกเหนือจากนี้ยังพบว่าถั่งเช่าไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน และไม่ส่งผลเสียต่อการเติบโต ไม่มีฤทธิ์ทำให้เกิดเด็กอ่อนวิรูป ในหนูเมาส์

ข้อแนะนำ ข้อควรระวัง

  • พึงระวังการใช้ในคนไข้โรคเบาหวาน เพราะเหตุว่าถั่งเช่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด จะไปเสริมฤทธิ์กับยาลดน้ำตาลในเลือด
  • ควรจะระวังการใช้ในคนเจ็บที่ได้รับยากลุ่มคุ้มครองปกป้องการยึดกรุ๊ปของเกล็ดเลือด เพราะถั่งเช่ามีฤทธิ์ต้านการยึดกรุ๊ปของเกล็ดเลือด
  • ควรระวังการใช้ในคนไข้ที่ได้รับยากดภูมิต้านทาน ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะถั่งเช่ามีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

การเรียนทางพิษวิทยาของเเปะก๊วย

แปะก๊วย ประโยชน์สรรพคุณ และงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร แปะก๊วย
ชื่ออื่นๆ หยาเจียว (จีน) อิโจว(ญี่ปุ่น)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Gingko biloba L.
ชื่อวงศ์ Ginkgoaceae

ถิ่นกำเนิดแปะก๊วย

แปะก๊วยมีถิ่นเกิดอยู่แถบตะวันออกเฉียงใต้ของจีน เชื่อกันว่าเป็นพืชที่ดั้งเดิมที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง ที่คงเหลือในประเทศจีน ซึ่งเป็นพืชที่หายากและก็ใกล้จะสิ้นพันธุ์ โดยพบอยู่ในธรรมชาติไม่กี่ต้น ต่อมามีการนำต้นแปะก๊วยไปปลูกไว้ในญี่ปุ่นและประเทศเกาหลี และก็ในราวศตวรรษที่ 18 ได้มีการปลูกเอาไว้ในทวีปยุโรป ปัจจุบันนี้ต้นแปะก๊วยเป็นไม้ให้ความร่มเงาตามแถวถนนหนทางแล้วก็สวนสาธารณะทั่วๆไปทั่งในยุโรป ออสเตรเลีย และก็อเมริกาลักษณะทั่วไป ต้นแปะก๊วยเป็นไม้ยื่นต้นขนาดใหญ่บางทีอาจสูงได้ถึง 35 – 40 เมตร ต้นโตสุดกำลังมีเส้นรอบวงประมาณ 3 – 4 เมตร แล้วก็บางทีอาจโตได้ถึง 7 เมตร ใบเป็นใบเดียว ลักษณะซึ่งคล้ายพัด กว้าง 5 – 10 เซนติเมตร ก้านใบยาว ใบแก่มีรอยหยักเว้ากึ่งกลาง ใบออกเวียนสลับกัน หรือออกเป็นกลุ่มตามปลายกิ่ง เส้นใบขนานกันจำนวนหลายชิ้น ใบอ่อนเป็นสีเขียว สามารถกลายเป็นสีเข้มได้เมื่อโตสุดกำลัง และเป็นสีเหลืองในช่วงฤดูใบไม้หล่น ต้นแปะก๊วยจะมีต้นตัวผู้ และต้นตัวเมีย ซึ่งลักษณะไม่เหมือนกัน

การขยายพันธุ์แปะก๊วย

ปัจจุบันเพาะพันธุ์โดยขั้นตอนการ เพาะเม็ด , ปักชำ , ทาบกิ่ง โดยแนวทางการเพาะเมล็ด มีดังนี้

  • ล้างเมล็ดแปะก๊วยในน้ำอุ่นให้สะอาดเพื่อไม่ให้กำเนิดเชื้อรา
  • หมกเมล็ดที่ล้างแล้ว ในขุยมะพร้าวหรือเถ้าถ่านแกลบในถุงซิบล็อก ปิดถุงให้สนิท และจากนั้นจึงนำไปเก็บเอาไว้ภายในตู้เย็น (ช่องเก็บผัก) ราว 12 อาทิตย์ ตอนนี้ให้รอหมั่นตรวจสอบว่ามีต้นอ่อนเริ่มแตกออกมาหรือยัง ถ้ามีเมล็ดไหน 

แตกหน่อก่อน 12 อาทิตย์ ก็แยกออกมาเพาะก่อน

  • ให้นำเมล็ดที่แตกหน่อก่อนมาเพาะในถุงชำ ใช้ดินถุงที่ขายธรรมดา ฝังเมล็ดแปะก๊วยลงไปโดยประมาณ 2 นิ้ว วางถุงเพาะชำให้โดนแดดอ่อนๆให้ดินที่

เพาะเมล็ดชื้ออยู่ตลอดระยะเวลาแต่อย่าให้เฉอะแฉะ หลังจากนั้นก็รอให้ต้นเขาโตขึ้นมาก่อนที่จะนำไปปลูกลงดิน

  • สำหรับเมล็ดที่ไม่งอกยังไม่ครบกำหนด เจอครบ 12 อาทิตย์ในตู้แช่เย็นก็ออกมาเพาะต่อตามข้อ 3

องค์ประกอบทางเคมีของแปะก๊วย

ใบแปะก๊วย มีสารประกอบทางเคมีล้นหลาม แม้กระนั้นที่สำคัญมีอยู่ 2 กรุ๊ปเป็นเทอร์ปีนอย์ (terpenoids) มีสารประกอบที่สำคัญชื่อ กิงโกไลด์ (ginkgolide) แล้วก็มีบิโลบาไลด์ (bilobalide) แล้วก็อีกกรุ๊ปคือ ฟลา-โม้นอยด์ (flavonoids) ยิ่งไปกว่านี้ยังเจอในพวกสารสตีรอยด์ (steroide) อนุพันธ์กรดอินทรีย์แล้วก็น้ำตาล

สรรพคุณแปะก๊วย

ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีคุณลักษณะช่วยคุ้มครองโรคมะเร็ง และก็ยังสามารถชะลอความแก่ได้ ฤทธิ์การขัดขวางการยึดตัวของ เกล็ดเลือดทำให้การไหลเวียนของโลหิตในเส้นโลหิตแดง หลอดเลือดดำ และก็เส้นเลือดฝอย ฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ทำให้ความสามารถสำหรับเพื่อการดำเนินงานแล้วก็การตัดสินใจดีขึ้น ฤทธิ์กระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดไหลฉีดไปตามผิวหนังเจริญ ฤทธิ์เพิ่มความสามารถสำหรับในการเรียนรู้ ฤทธิ์ยับยั้งการเกิดไลปิดเพอรอคอยกไซด์ ฤทธิ์ช่วยทำให้ความจำดียิ่งขึ้น ฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดหดตัว ฤทธิ์เพิ่มการมองมองเห็น และฤทธิ์ยับยั้งการเสื่อมของสมอง เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น แก้ไขเลือดไปไหลเวียนในบริเวณของลับไม่สะดวก ทุเลาอาหารของโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากแปะก๊วยจำเข่าไปช่วยเพิ่มระบบไหลเวียนเลือดในสมอง ทำให้ร่างกายสามารถผลิตฮอร์โมนโดปามีนได้มากขึ้น รวมทั้งนำส่งไปยังอวัยวะต่างๆภายในร่างกายได้อย่างพอเพียง

รูปแบบและก็ขนาดการใช้

  • สารสกัดแปะก๊วยแห้ง –ใช้ 120 – 240 มิลลิกรัม แบ่งให้วันละ 2 – 3 ครั้ง สำหรับอาการ dementin โดยให้ยาติดต่อกัน 8 อาทิตย์ แต่ไม่เกิน 3 เดือน
  • สารสกัดแปะก๊วยแห้ง – ใช้ 120 – 160 มก. แบ่งให้วันละ 2 – 3 ครั้ง สำหรับรักษาอาการเส้นเลือดแดงส่วนปลายประสาทตัน และก็ ความมึนงง มีเสียงในหู โดยให้ยาต่อเนื่องกัน 6 – 8 สัปดาห์
  • สำหรับเพื่อการใช้เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ให้ใช้กินไม่เกินวันละ 120 มก.

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของแปะก๊วย

มีการทดสอบแปะก๊วยกับคนเจ็บที่มีลักษณะอาการบกพร่องเรื้อรังของสมองส่วนซีรีบรัม และหลอดเลือดพบว่า ในแปะก๊วยช่วยทำให้มีการความก้าวหน้าทางความจำความนึกคิด นอนได้ง่ายขึ้น ส่วนคนเจ็บโรคอัลไซเมอร์นั้น ในประเทศสหรัฐอเมริกา ใบแปะก๊วยก็ถูกให้อย่างกว้างขวางเพื่อเป็นยารักษาอาการดังกล่าวข้างต้น โดยมีการทดสอบในปี 1994 ทดลองให้ใบแปะก๊วยกับกรุ๊ปผู้เจ็บป่วยอัลไซเมอร์ พบว่าคนไข้มีความจำ รวมทั้งสมาธิได้ดิบได้ดีขึ้น

ในปี 1996 ได้มีการทดลองพบว่าใบแปะก๊วยมีคุณภาพช่วยป้องกันคนที่มีลักษณะ AMS (Asthma & AcutE Mountain Sickness) หรือภาวการณ์ไม่ปรกติของการหายใจขณะขึ้นสู่ที่สูงได้ ส่วนคนภายในฝูงชนที่ประสบพบปัญหาหูอื้ออยู่เป็นประจำ การทานอาหารใบแปะก๊วยยังช่วยลดภาวการณ์หูอื้อลงได้อีกด้วย

การศึกษาทางพิษวิทยาของแปะก๊วย

การทดสอบความเป็นพิษรุนแรงของแปะก๊วยในหนู พบว่าให้ค่า LD50 พอๆกับ 7725 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว ไม่เจอผลที่ทำให้มีการเกิดการก่อกลายประเภท (mutagen) หรือทำให้มีการเกิดโรคมะเร็ง (carcinogen) และไม่เป็นพิษต่อ ระบบอวัยวะสืบพันธุ์

ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง

  • สาร Gingkolide จากใบแปะก๊วยมีฤทธิ์ยีนส์การยึดดึงของเกล็ดเลือด ถ้าหากกินยาแอสไพรินอยู่ประจำ หรือ กินยา Gingkolide อยู่อาจมีผลข้างเคียงของการที่เลือดไหลไม่หยุด
  • ถ้าเกิดรับประทานสารสกัดจากในแปะก๊วยในปริมาณมาก อาจจะทำให้เกิดของกินคลื่นไส้ อ้วก ท้องเสีย และก็มีอาหารกระวนกระวายใจ
  • สำหรับหญิงท้องแล้วก็ให้นมลูก ยังไม่มีงานค้นคว้าวิจัยพิมพ์ถึงความปลอดภัย หรือผลที่จะกำเนิดกับเด็กแรกเกิด

อีกทั้งแม้รับประทานสารสกัดแปะก๊วยมากเกินไปอาจมีผลกระทบทำให้ปวดศีรษะ งงงัน เวียนหัว ทางเดินอาหารป่วน หรือบางทีอาจกำเนิดอาการแพ้ทางผิวหนัง ระบบหายใจรวมทั้งเส้นโลหิตแตกต่างจากปกติ ง่วงซึม ระบบการนอนหลับก็ปั่นป่วนไปด้วย

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : เเปะก๊วย

วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2560

การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยาของกระชายดำ

กระชายดำ ประโยชน์สรรพคุณ และงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร กระชายดำ

ชื่ออื่นๆ/ ชื่อแคว้น กระชายม่วง , ว่านเพชรดำ , ขิงทราย (มหาสารคาม) , ว่านนิ่งงัน , ว่านพญานกยูง , ว่านกั้นบัง ,ว่านกำบัง , ว่านกำบังภัย , กะแอน . ระแอน (ภาคเหนือ)

ชื่อวิทยาศาสตร์ Kaempferia parviflora Wallich. ex Baker

ชื่อวงศ์Zingiberaceae

ถิ่นกำเนิดกระชายดำ

มีถิ่นเกิดในเอเซียอาคเนย์ พบได้หนาแน่นในแถบมาเลเซีย เกะสุมาตรา เกาะบอร์เนียว อินโดจีน แล้วก็ในประเทศไทย แล้วก็มีเขตการกระจายจำพวกทั่วไปในเอเชียเขตร้อน ในประเทศจีนตอนใต้ ประเทศอินเดีย และก็เมียนมาร์ สำหรับประเทศไทยนั้นมีการปลูกกระชายดำมากในจังหวัดเลย ตาก กาญจนบุรี รวมทั้งจังหวัดอื่นๆทางภาคเหนือ

ลักษณะทั่วไปของกระชายดำ

กระชายดำจัดเป็นไม้ล้มลุกแก่หลายปีมีเหง้าอยู่โต้ดิน โดยในแต่ละส่วนมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

  • เหง้ากระชายดำ นั้นมีลักษณะเป็นทรงกลม เป็นปุ่มป่นเรียงต่อกัน และมักมีขนาดเท่าๆกัน มีหลายเหง้าแล้วก็อวบน้ำ ผิวเหง้ามีสีน้ำตาลอ่อนถึงสีน้ำตาบเข้ม และอาจเจอรอยที่ผิวเหง้าเป็นบริเวณที่จะผลิออกของต้นใหม่ ส่วนเนื้อด้านในชองเหง้ามีสีม่วงอ่อน สีม่วงเข้ม ไปจนกระทั่งม่วงดำ เหง้ามีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รวมทั้งมีรสชาติขมเล็กน้อย โดยกระชายดำที่ดีนั้นควรมีสีม่วงเข้มถึงสีดำ
  • ใบกระชายดำ มีใบเป็นใบเดี่ยว ลักษณะเป็นรูปรีหรือรูปไข่ มีความกว้างราวๆ 5 – 10 เซนติเมตร รวมทั้งยาวราว 10 – 15 ซม. ปลายใบแหลม ขอบใบหยักตามเส้นใบ ผิว ในเป็นร่องคลื่นตลอดใบตามแนวของเส้นใบ ใบมีสีเขียวสด ส่วนโคนก้านใบมีลักษณะเป็นกาบห่อหุ้มลำต้นไว้ ขอบก้านใบมีสีแดงตลอดความยาวของก้าน ส่วนกลางก้านเป็นร่องลึก
  • ดอกกระชายดำ ดอกออกเป็นช่อแทรกขึ้นมาจากโคนกาบใบ ก้านช่อดอกมีความยาวราวๆ 5 – 6 ซม. กลีบที่ส่วนโคนเชื่อมเป็นหลอด ยาวราว 3 - 3.2 เซนติเมตร ที่ปลายแยกเป็นแฉก เกสรตัวผู้เป็นหมัน มีสีขาว ลักษณะเป็นรูปขอบขนาด มีความกว้างราว 3 มม. แล้วก็ยาวราวๆ 10 -13 มม. ส่วนกลีบปลายมีสีม่วง

การขยายพันธุ์กระชายดำ

ขยายพันธุ์โดยการใช้หัวหรือแยกหน่อ ปลูกได้ตลอดปี แต่ว่าฤดูที่เหมาะสมอยู่ในระหว่างมี.ค. – เดือนพฤษภาคม การเตรียมหัวกระชายดำสำหรับปลูก หัวกระชายดำหัวหนึ่งจะมีหลายแง่ง ให้บิ (หัก) ออกมาเป็นแง่งๆถ้าเกิดแง่งเล็กก็ 2 – 3 แง่ง ถ้าแง่งใหญ่บริบูรณ์ก็แค่แง่งเดียวก็พอเพียง เพราะเมื่อกระชายดำโตขึ้น กระชายดำก็จะแตกหน่อ และกำเนิดหัวกระชายดำหัวใหม่ขึ้นมาแทน รวมทั้งจะขยายหัวและหน่อออกไปเรื่อยจะมากหรือน้อยขึ้นกับการดูแลและรักษา ส่วนหัวหรือแง่งที่ใช้ปลูกเอาไว้ในทีแรกๆที่เหี่ยวและแห้งไปสุดท้าย ก่อนนำไปปลูก ควรจะทารอยแผลของแง่งกระชายดำที่ถูกลบมาด้วยปูนกินหมาก หรือจะจุ่มลงในน้ำยากันเชื้อราก็ได้ แล้วผึ่งในที่ร่มกระทั่งหมดหรือแห้ง แล้วจึงนำไปปลูก การปลูกกระชายดำก็ดังการปลูกกระชายธรรมดาโดยธรรมดา สามารถปลุกได้ดิบได้ดีในดินซึ่งร่วนซุย การระบายน้ำดี แต่ว่าระวังอย่าให้น้ำท่วมขัง เพราะจะก่อให้หัวหรือเหง้าเน่าได้ง่ายส่วนในดินเหนียว รวมทั้งดินลูกรังไม่ค่อยจะเหมาะสมนัก โดยธรรมชาติรวมทั้งกระชายดำขอบขึ้นตามร่มไม้ในป่าดิบ แล้วก็ป่าเบญจพรรณทั่วไป แต่ในก็สามารถปลูกได้

องค์ประกอบทางเคมีของกระชายดำ

ข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์พบว่า ในเหง้ากระชายดำมีน้ำมันหอมระเหยแต่ว่าพบในจำนวนน้อย (ราวจำนวนร้อยละ 1 – 3) น้ำมันหอมระเหยของกระชายดำประกอบด้วยสารเคมีหลายแบบ เช่น 1.8-cineol,camphor, d-borneol และก็ methyl cinnamate น้ำมันหอมระเหยที่พบส่วนน้อย อาทิเช่น d-pinene, zingiberene , zingiberone, curcumin และก็ zedoarin นอกเหนือจากนั้น ยังพบสารอื่น ดังเช่น กลุ่มไดไฮโดรซาลโคน pincocembrin และก็กล่มุซาลโคน (อย่างเช่น 2 , 4 , 6-trihydroxy chalcone แล้วก็ cardamonin)(ณาตยา ธนะศิริวัฒนา, สุนิดา ณ ตะกั่วทุ่ง, ธนนันต์ ฐานะจาโร,2540)

สูตรส่วนประกอบทางเคมีสารกลุ่ม chalconeที่มา Rein (2005)

สูตรโครงสร้างทางเคมีสารกลุ่ม Anthocyanin

ที่มา Castaneda-Ovando et al. (2009)

คุณประโยชน์กระชายดำ

ใช้ชูกำลัง แก้เมื่อยและก็อาการเหนื่อย และก็เพิ่มความสามารถทางเพศขับลม เป็นยาอายุวัฒนะ แก้จุกเสียด แก้เจ็บท้อง หรือโขลกกับเหล้าขาวคั้นน้ำดื่ม แก้โรคมดลูกพิการ มดลูกหย่อนยาน ใช้กวาดคอเด็ก แก้โรคตานซางในเด็ก หรือต้มดื่มแก้โรคตา ช่วยบำรุงฮอร์โมนเพศชาย แก้กามตายด้าน ด้วยการใช้เหง้ากระชายดำสดเอามาดองกับเหล้าขาวและก็น้ำผึ้งแท้ (ในอัตราส่วน 1 กิโล : เหล้าขาว 3 ขวด : น้ำผึ้ง 1 ขวด) ดองทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 9 – 15 วัน แล้วประยุกต์ใช้ดื่มวันละ 1 – 2 เป๊ก (กระชายดำไม่ได้เป็นยาเร้าอารมณ์ทางเพศ แต่ว่าระยะเวลาการแข็งตัวนานขึ้น และก็สำหรับผู้ที่มิได้มีปัญหาดังที่กล่าวมาแล้วก็สามารถรับประทานเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงแรกขึ้นได้)ถ้าหากคุณผู้หญิงทานแล้วจะช่วยสำหรับในการปรับสมดุลของฮอร์โมนทางเพศ ช่วยกระตุ้นระบบประสาท ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ช่วยสำหรับในการนอนหลับ แก้อาการนอนไม่ค่อยหลับในเวลากลางคืน ช่วยให้นอน

รูปแบบ , ขนาดวิธีการใช้

สำหรับวิธีการใช้กระชายดำเพื่อเป็นยาอายุวัฒนะ ใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง แก้โรคบิด และลมป่วงทุกชนิด

  • หากเป็นเหง้าสด ให้ใช้โดยประมาณ 4 – 5 นำมาดองกับเหล้าขาว 1 ขวดก่อนเอามากินเป็นมื้อเย็น ในจำนวน 30 cc. หรือ จะฝานเป็นแว่นบางๆแช่กับน้ำ หรือเอามาดองกับน้ำผึ้งในอัตราส่วน 1:1
  • ถ้าเกิดเป็นเหง้าแห้งก็ให้ใช้ดองกับน้ำผึ้งในอัตราส่วน 1 ต่อ นาน 7 วัน แล้วประยุกต์ใช้ดื่มก่อนนอน
  • หากเป็นแบบชงหรือแบบผง ให้ใช้ผงแห้ง 1 ซอง ชงกับน้ำร้านค้า 1 แก้ว (ขนาน 120 cc.) รวมทั้งแต่งรสด้วยน้ำผึ้งหรือน้ำตาลตามสิ่งที่มีความต้องการ แล้วเอามาดื่ม

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของกระชายดำ

  1. ฤทธิ์ต้านทานอักเสบ สาร 5,7 – ได้การเซ่นสรวงอกซีฟลาโม้น (5,7-DMF) ที่แยกได้จากเหง้ากระชายดำ มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบเทียบได้กับยามาตรฐานหลายประเภทหมายถึงแอสไพริน , อินโดความฉลาดสิน , ไฮไดรคอร์ติโซน แล้วก็เพรดนิโซโลน จากการศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ต้านทานอักเสบของสารนี้ ในสัตว์ทดลองด้วยวิธีการต่างๆพบว่าสาร 5,7-DMF สามารถต่อต้านการอักเสบแบบเฉียบพลันได้ดีมากยิ่งกว่าแบบเรื้อรัง โดยแสดงฤทธิ์ยับยั้งการบวมของอุ้งเท้าหนูขาวจากสารค้างราจีนแนน และเคโอลินได้ดีกว่าฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง granuloma จากการฝังสำลีใต้ผิวหนัง นอกนั้น พบว่า สาร 5,7-DMF มีฤทธิ์ยั้งการเกิด exudation รวมทั้งการผลิตสาร prostaglandin อย่างเป็นจริงเป็นจัง เมื่อเรียนรู้ฤทธิ์ต้านทานการอักเสบในช่องปอดของหนูขาว (rat pleurisy) (สกุลความเจริญรุ่งเรือง ทัศนียกุล และอำไพ ปั้นทอง,2528)
  2. ฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์ สาร 5,7,4'-trimethoxyflavone และก็ 5,7,3' ,4' –tetramethoxyflavone แสดงฤทธิ์ต้านเชื้อ Plasmodium falciparum ที่เป็นสาเหตุของโรคไข้มาลาเรีย ส่วนสาร 3,5,7,4'-tetramethoxyflavone และก็ 5,7,4'-trimethoxyflavone แสดงฤทธิ์ต้านเชื้อ Candida albicans รวมทั้งแสดงฤทธิ์ต้านเชื้อ Mycobacterium อย่างอ่อน (Wattanapitayakui S, Nawinprasert A, Herunsalee A, et al,2003)
  3. พิษต่อเซลล์มะเร็ง (cytotoxic activity) จากการทดสอบผลของฟลาโวนอยด์ 9 จำพวกของกระชายดำต่อเซลล์ของมะเร็ง ตัวอย่างเช่น KB , BC หรือ NCI-H187 ไม่พบว่ามีสารใดส่งผลให้เกิดพิษต่อเซลล์ของโรคมะเร็งที่ทดสอบ (วงศ์วิวัฒน์ ทัศนียกุล รวมทั้งสุกใส ปั้นทองคำ,2528)
  4. ฤทธิ์ขยายเส้นโลหิตแดง มีรายงานการวิจัยว่า สารสกัดด้วยเอธานอลของกระชายดำมีฤทธิ์ขยายเส้นเลือดแดงใหญ่ (aorta) ลดละการหดเกร็งของ ลำไส้เล็กส่วนปลาย (ileum) ของหนูขาว และยับยั้งการยึดกรุ๊ปของเกล็ดเลือดของคน.(Yenchai C, Prasaphen K, Doodee S, et al,2004)

การเรียนทางพิษวิทยา

การเล่าเรียนพิษเรื้อรังระยะเวลา 6 เดือน ของผงกระชายดำในหนูขาว ในขนาด 20 , 200 , 1000 และก็ 2000 มก/กิโลกรัม/วัน เทียบกับกรุ๊ปควบคุมที่ได้รับน้ำ พบว่า หนูที่ได้รับกระชายดำทุกกรุ๊ปมีน้ำหนักตัวที่มากขึ้น อาการและก็สุขภาพไม่ได้ต่างอะไรจากกรุ๊ปควบคุมหนูที่ได้รับกระชายดำขนาด 2000 มก/กก. มีน้ำหนักชมรมของตับสูงขึ้นมากยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ บางทีอาจเนื่องจากว่ามีน้ำหนักตัวที่ต่ำกว่ากลุ่มควบคุม และมีเม็ดเลือดขาวอิโอสิฟิสที่ได้รับกระชายดำ 2000 มก./กก. หรูหราซีรั่มโซเดียมสูงยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุมอย่างเป็นจริงเป็นจังแต่ว่ายังอยู่ในตอนค่าธรรมดา ผลการตรวจอวัยวะทางจุลพยาธิวิทยานั้นไม่เจอการเปลี่ยนแปลงที่ระบุว่าเกิดความเป็นพิษของกระชายดำ (ทรงพล ชีวะพัฒน์, ณุฉัตรา จันทร์สุการค้าขาย, ปราณี ชวลิตทรง แล้วก็คณะ.2547)

ข้อแนะนำ /{ข้อควรระวัง

  • กระชายดำสามารถรับประทานได้หญิง และชายโดยไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆยิ่งสำหรับผู้สูงวัยก็พบว่านิยมใช้กันมานานมากแล้ว
  • ผลข้างเคียงของกระชายดำ การกินในขนาดสูง อาจก่อให้เกิดอาการใจสั่นได้
  • ห้ามใช้กระชายดำในเด็ก รวมทั้งในคนไข้ที่เป็นโรคตับ
  • การรับประทานเหง้ากระชายดำติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ อาจก่อให้เหงือกร่น
  • แม้ว่าจะมีงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยในสัตว์ทดลองที่บอกว่ากระชายดำไม่พบว่ามีความเป็นพิษ แต่ว่ายังไม่มีรายงานการค้นคว้าเพื่อประเมินประสิทธิผล ของการใช้กระชายดำในคนควรต้องกินในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้มีความปลอดภัย

ข้อเเนะนำ/ข้อควรคำนึงสมุนไพรถั่งเช่า

ถั่งเช่า ประโยชน์สรรพคุณ และงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร  ถั่งเช่า
ชื่ออื่นๆ ตังถั่งเช่า (dong Chong Cao) ,ตังถั่งแห่เช่า (dong Chong Xia Cao), หญ้าหนอน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ophiocord yceps  sinensis

ถิ่นกำเนิด

ถั่งเช่าพบได้ แถบทุ่งหญ้าประเทศจีน (ธิเบต) , เนปาล , ภูฎาน ในระดับความสูง 10000 -12000 ฟุต จากระดับน้ำทะเล  แต่ในปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยง  ส่วนใหญ่เพาะเลี้ยงในบริเวณภาคใต้ของมณฑลชิงไห่ , เขตซานโตวในธิเบต   มณฑลเสฉาน   ยูนนาน   และกุ้ยโจว 

ลักษณะทั่วไปของถั่งเช่า

ถั่งเช่า ที่เรียกว่าหญ้าหนอน ด้วยเหตุว่าสมุนไพรชนิดนี้ประกอบไปด้วย 2 ส่วน หน้าหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นต้นหญ้า คือ ส่วนที่เป็นตัวหนอน  ตัวหนอนของผีเสื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ Hepialus  armoricanus Oberthiir  และบนตัวหนอนมีเห็ดมีชื่อวิทยาศาสตร์ Cordyceps sinensis (Berk.) Saec. หนอนชนิดนี้ในช่วงฤดูหนาวจะฝังตัวจำศีลอยู่ใต้ดินภูเขาหิมะ  เมื่อน้ำแข็งเริ่มละลาย  สปอร์เห็ดจะพัดไปกับน้ำแข็งที่ละลาย แล้วไปตกที่พื้นดิน จากนนั้นตัวหนอนพวกนี้ก็จะรับประทานสปอร์ และเมื่อฤดูร้อนสปอร์ก็เริ่มเจริญเติบโตเป็นเส้นใยโดยอาศัยการดูดสารอาหารรวมทั้งธาตุจากตัวหนอนนั้น เส้นใยแตกออกออกมาจากห้องของตัวหนอน แล้วก็แตกหน่อออกมาจากปากของมัน เห็ดพวกนี้อยากแสงตะวันมันจึงผลิออกขึ้นสู่พื้นดิน  รูปลักษณะข้างนอกคล้ายไม้กระบอก ส่วนตัวหนอนเองก็จะเบาๆตายไป อยู่ในรูปแบบของหนอนตามซาก  ด้วยเหตุนี้ “ถั่งเช่า” ที่ใช้เพื่อทำเป็นยาก็เป็น ตัวหนอนแล้วก็เห็ดที่แห้งแล้วนั่นเอง  โดยถั่งเช่าที่มีคุณภาพดี  ตัวหนอนจะต้องมีสีเหลืองแจ่มใส  และก็มีความยาว ขนาดใหญ่บริบูรณ์ ด้านหน้าตัดมีสีขาวปนเหลือง  รวมทั้งส่วนที่เป็นรา มีสีน้ำตาลเข้ม

การขยายพันธุ์ของถั่งเช่า

  • จัดแจงขวดแก้ว
  • ตระเตรียมสารอาหารสำหรับเชื้อเห็ดถั่งเช่าสีทอง คือ ข้าวสังข์หยด , ปลายข้าว , ข้าวโพด . ถั่วเขียว , ถั่วเหลือง , กากถั่วเหลืองรำข้าว , ตัวหนอนไหม(ดักแด้)(บด) เพื่อมาเป็นแหล่งโปรตีน หากตอนไหนไม่มีหนอนไหม ก็ให้ใช้ไข่แทน
  • นำน้ำดื่มที่ต้มกับมันฝรั่ง , ข้าวโพดอ่อน , ไข่ แล้วก็ค่อยนำไปเติมในขวดที่ใส่อาหารไว้
  • นำไปนึ่ง ในหม้อนึ่งความดัน ที่อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียส , ด้วยความดันที่ 15 ปอนด์/ตารางนิ้ว เป็นเวลา 30 นาที ในกรณีที่นึ่งด้วยลังถึง ให้นึ่งนานตรงเวลา 30 – 40 นาที จากเมื่อน้ำเดือด , แล้วนำมาพักไว้ 24 ชั่วโมง , แล้วเอามานึ่งแบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง
  • แล้วนำไปเขี่ยใส่เชื้อเห็ด ลงในขวดสารอาหาร แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปบ่งเชื้ออีก 2 อาทิตย์ ในที่มืด
  • แล้วนำมาเลี้ยงต่อในที่ ควบคุมอุณหภูมิ ให้มีความเย็น 18 องศา ต่ออีก 2 – 3 เดือน จนกระทั่งเห็ดขึ้นสุดกำลังก็เลยเก็บผลิตผลได้

องค์ประกอบทางเคมีของถั่งเช่า

ถั่งเช่ามีส่วนประกอบทางเคมีที่สำคัญคือ สารแมนนิทอล  (manniton) หรือกรดคอร์ดิเซพิก (cordycepic acid) มีร้อยละ 7 – 29 (ไม่เหมือนกันในระยะเจริญเติบโตต่างๆของดอกเห็ด) แล้วก็สารคอร์ดิเซพิน (cordycepin) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของสารอะดีโนซีน (adenosine) ยิ่งกว่านั้นยังเจอสารกลุ่มนิวคลีโอไซค์ (nucleosides) โปรตีน พอลิแซ็กคาไรค์ (polysaccharides) ไขมันสเตอรอคอยล (syerols) วิตามิน ธาตุปริมาณบางส่วน เป็นต้น

สรรพคุณถั่งเช่า

  • ช่วยเสริมความสามารถทางเพศ มีฤทธิ์บำรุงกำลังทางเพศ ช่วยทำให้น้ำเชื้อแข็งแรก เนื่องด้วยการกินถั่งเช่าจะส่งผลให้มีเลือดไปเลี้ยงของลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถั่งเช่าสามารถช่วยเพิ่มปริมาณของสเปิร์มในสเปิร์มได้ โดยจากการเล่าเรียนในเพศชาย 22 คนพบว่าเมื่อใช้ถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมแล้ว ปริมาณของสเปิร์มในน้ำเชื้อเพิ่มขึ้น 33% ทั้งยังยังลดปริมาณสเปิร์มที่มีความผิดธรรมดาลงได้ถึง 29% และก็เมื่อศึกษาเล่าเรียนเพิ่มอีกก็พบว่าถั่งเช่าสามารถช่วยเพิ่มความต้องการทางเพศได้ 66 – 86% ทั้งยังมีคุณสมบัติสำหรับในการปกป้องรวมทั้งเสริมสร้างการทำงานของต่อมหมวกไต รวมทั้งเพิ่มช่องทางที่สเปิร์มจะถือกำเนิดได้
  • ช่วยทำให้แนวทางการทำงานของหัวใจ ถั่งเช่า มีคุณประโยชน์ช่วยปรับอัตราการเต้นของหัวใจให้ปกติได้ ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการหัวใจขาดออกสิเจน และก็เพิ่มออกซิเจนให้หัวใจได้
  • สร้างเสริมการทำงานของระบบภูมิต้านทาน ถั่งเช่ามีคุณประโยชน์ช่วยปรับปรุงหลักการทำงานของระบบภูมิต้านทานให้เป็นปกติ ช่วยให้ร่างกายสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันมากยิ่งขึ้น
  • ต้านทานมะเร็ง ถั่งเช่าก็ยังมีฤทธิ์สำหรับในการต้านทานมะเร็ง โดยสารคอร์ไดเซปิน (Codycepin) ที่อยู่ในถั่งเช่านับว่าเป็นสารที่มีความหมายสำหรับเพื่อการต้านการเกิดมะเร็ง คุ้มครองป้องกันการเกิดและก็การแพร่ขยายของเนื้อร้าย
  • ลดไขมันในเลือด ถั่งเช่ามีสรรพคุณควบคุมระดับไขมันในเลือด ลดคอเลสเตอรอล รวมทั้งสามกลีเซอร์ไรด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภัยอื่นๆ
  • ฟื้นฟูหลักการทำงานของไต สำหรับคนป่วยโรคไตเรื้อรัง การกินถั่งเช่าจะช่วยทุเลาอาการลง รวมทั้งทำให้สุขภาพไตดียิ่งขึ้น ทั้งยังลดความทรุดโทรมของไตที่เกิดจากสารพิษตกค้างได้
  • เสริมสร้างลักษณะการทำงานของตับ การกินถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมจะช่วยลดผลกระทบจากสารพิษ และก็คุ้มครองป้องกันการเกิดพังทลายพืดในตับ สารต้านอนุมูลอิสระก็ยังเข้าไปเพิ่มประสิทธิภาพรูปแบบการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ลดความหลีกเลี่ยงสำหรับเพื่อการกำเนิดโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ด้วย
  • บำรุงโลหิต สารที่อยู่ในถั่งเช่าก็ยังช่วยเสริมสร้างลักษณะการทำงานของระบบเลือด ทำให้ร่างกายสร้างไขกระดูกเพิ่มมากขึ้นซึ่งทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงและก็เซลล์เม็ดเลือดขาวถูกผลิตในจำนวนที่พอเพียงต่อสภาพร่างกาย
  • ลดระดับน้ำตาลในเลือด ถั่งเช่านับว่าเป็นสมุนไพรอีกจำพวกที่ช่วยลดน้ำตาลได้ โดยมีการเรียนพบว่าการรับประทานถั่งเช่าวันละ 3 กรัม จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ถึง 95%

รูปแบบและขนาดวิธีใช้ถั่งเช่า

ขนาดบริโภคของคนแก่ (แก่กว่า 18 ปี) ในทุกๆวัน ราวๆ 3 – 9 กรัม

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของถั่งเช่า

มีรายงานการเล่าเรียนฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของถั่งเช่าเยอะแยะ ทั้งฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ต่อต้านมะเร็งทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นแนวทางการทำงานของหัวใจและเส้นเลือดคุ้มครองป้องกันไตรวมทั้งตับ ต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น

  • ฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิต้านทาน เมื่อให้สารกรุ๊ปพอลิแซ็กคาไรด์ที่แยกได้จากถั่งเช่าแก่หนูเมาส์โดยฉีดเข้าหลอดโลหิตดำในขนาด 35 มิลลิกรัม/กิโล ตรงเวลา 5 วัน เรียนเภสัชจลุกลี้ลุกลนศาสตร์ของสารดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นในหนูเมาส์ต่อระบบภูมิต้านทานเทียบกับกลุ่มควบคุม พบว่าสารพอลิแซ็กคาไรด์แต่ละประเภทสามารถเพิ่มประสิทธิสำหรับการตอบสนองของระบบภูมิต้านทานดัชนีม้าม (spleen index) ดัชนีนิไทมัส (thymus index) รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการกลืนรับประทานของเซลล์แมคโครฟาจ (macrophages)
  • ฤทธิ์ต้านทานโรคมะเร็ง เมื่อให้ถั่งเช่าแก่หนูเมาส์ในขนาด 50 มิลลิกรัม/กก. พบว่ามีฤทธิ์ยั้งเซลล์ Hela โดยมีอัตราการเติบโต ดรรชนีทิคส์ (mitotic) ความสามารถในการเจริญวัยของไขมันส่วนนุ่มน้อยกว่ากรุ๊ปควบคุม โดยตำแหน่งที่ถูกทำลายกระจ่างแจ้งที่สุดคือนิวเคลียส ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าถั่งเช่าในขนาด 50 มก./กิโลกรัม มีฤทธิ์ยั้งเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวหนูเม้าส์ และก็มีฤทธิ์ต้านทานเนื้องอกแล้วก็ยั้งการแพร่ตามธรรมชาติของโรคมะเร็งปอดหนู่เมาส์
  • ผลต่อระบบหัวใจแล้วก็เส้นเลือด มีรายงานการเรียนในเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่แยกจากกายหนูแรท  โดยใช้เซลล์ myocytes ของหนูแรทแรกเกิด สังเกตกลุ่มเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจวาดรูปเซลล์ pollex โดยใช้ตัวแปลงสัญญาณจากแสงพบว่าถั่งเช่าในขนาด 0.66  มก./มล. สามารถชะลออัตราการเต้นของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ pollex ได้ อีกการทดลองหนึ่งพบว่าสารสกัด 70% แอลกอฮอล์จากเส้นใยเห็ดของถั่งเช่ามีฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตสุนัขที่ถูกสูดดมยาสลบและก็ลดความดันโลหิต
  • ฤทธิ์ปกป้องรักษาไต มีรายงานการเรียนในหนูแรทที่ได้รับยาไซโคลสปอริน (cyclosporine) ซึ่งเป็นพิษต่อไตจำพวกรุนแรง พบว่าถั่งเช่าสามารถลดพิษของยาไซโคลสปอรินที่มีต่อไต รวมถึงลดพิษของสมุนไพรเหลยกงเถิง
  • ฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ มีกล่าวว่าสารสกัดถั่งเช่ามีฤทธิ์ชะลอความแก่ของหนูถีบจักรที่ถูกเหนี่ยวนำด้วย ดี-กาแล็กโตสโดยถั่งเช่าช่วยเพิ่มความทรงจำในหนูแก่ ทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นรูปแบบการทำงานของตับ สมอง เม็ดเลือดแดง เอนไซม์ซุปเปอร์ออกไซด์ดิสไม่วเตส (super oxide dismutase; SOD) รวมทั้งเลือดทั้งผอง ลดระดับเอนโซม์โมโนเอมีนออกสิเดส (malondiadehyde; MDA) ในตับแล้วก็สมอง

การศึกษาทางพิษวิทยาของถั่งเช่า 

มีรายงานการศึกษาความเป็นพิษของถั่งเช่า พบว่าขนาดสูงสุดของถั่งเช่าที่หนูเมาส์สามารถทนได้คือ 45 กรัม/กก.  หรือโดยประมาณ 250 เท่าของขนาดที่ใช้ในคน เมื่อให้สารสกัดถั่งเช่าโดยฉีดเข้าช่องท้องหนูเมาส์  ขนาดที่ทำให้หนูตายจำนวนร้อยละ 5 (LD 50) มีค่าพอๆกับ 27.1 กรัม/กิโล เมื่อได้รับยาเกินขนาดจะมีอาการเริ่มด้วยการยับยั้งทั่วๆไป และก็ตามด้วยการกระตุ้นทั่วๆไป กระตุก ชัก และกดระบบทางเดินหายใจ นอกจากนั้นยังพบว่าถั่งเช่าไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน และไม่มีผลกระทบต่อการเติบโต ไม่มีฤทธิ์ทำให้กำเนิดเด็กอ่อนวิรูป ในหนูเมาส์

ข้อแนะนำ ข้อควรระวัง

  • พึงระวังการใช้ในคนเจ็บเบาหวาน เนื่องมาจากถั่งเช่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด จะไปเสริมฤทธิ์กับยาลดน้ำตาลในเลือด
  • พึงระวังการใช้ในคนป่วยที่ได้รับยากลุ่มคุ้มครองป้องกันการเกาะกรุ๊ปของเกล็ดเลือด เพราะถั่งเช่ามีฤทธิ์ต้านการยึดกรุ๊ปของเกล็ดเลือด
  • ต้องระวังการใช้ในคนเจ็บที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน แบบนี้เพราะถั่งเช่ามีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

องค์ประกอบทางเคมีสมุนไพรเเปะก๊วย

แปะก๊วย ประโยชน์สรรพคุณ และงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร แปะก๊วย
ชื่ออื่นๆ หยาเจียว (จีน) อิโจว(ญี่ปุ่น)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Gingko biloba L.
ชื่อวงศ์ Ginkgoaceae

ถิ่นกำเนิดแปะก๊วย

แปะก๊วยมีถิ่นกำเนิดอยู่แถบตะวันออกเฉียงใต้ของจีน เช้าใจกันว่าเป็นพืชที่เก่าแก่ที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง ที่คงเหลืออยู่ในประเทศจีน ซึ่งเป็นพืชที่หายากแล้วก็ใกล้จะสูญพันธุ์ โดยพบอยู่ในธรรมชาติไม่กี่ต้น ต่อมามีการนำต้นแปะก๊วยไปปลูกภายในญี่ปุ่นแล้วก็เกาหลี แล้วก็ในราวศตวรรษที่ 18 ได้มีการปลูกเอาไว้ในทวีปยุโรป ปัจจุบันต้นแปะก๊วยเป็นไม้ให้ความร่มเงาตามแถวถนนและก็สวนสาธารณะทั่วไปทั่งในยุโรป ออสเตรเลีย รวมทั้งอเมริกาลักษณะทั่วไป ต้นแปะก๊วยเป็นไม้ยื่นต้นขนาดใหญ่อาจสูงได้ถึง 35 – 40 เมตร ต้นโตเต็มที่มีเส้นรอบวงโดยประมาณ 3 – 4 เมตร และอาจโตได้ถึง 7 เมตร ใบเป็นใบเดียว ลักษณะก็จะคล้ายพัด กว้าง 5 – 10 ซม. ก้านใบยาว ใบแก่มีรอยหยักเว้าตรงกลาง ใบออกเวียนสลับกัน หรือออกเป็นกระจุกตามปลายกิ่ง เส้นใบขนานกันเยอะแยะ ใบอ่อนเป็นสีเขียว สามารถเปลี่ยนเป็นสีเข้มได้เมื่อโตเต็มที่ แล้วก็เป็นสีเหลืองในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ต้นแปะก๊วยจะมีต้นเพศผู้ แล้วก็ต้นตัวเมีย ซึ่งลักษณะแตกต่างกัน

การขยายพันธุ์แปะก๊วย

ปัจจุบันขยายพันธุ์โดยขั้นตอนการ เพาะเมล็ด , ปักชำ , ทาบกิ่ง โดยกระบวนการเพาะเมล็ด มีดังนี้

  • ล้างเมล็ดแปะก๊วยในน้ำอุ่นให้สะอาดเพื่อไม่ให้เกิดเชื้อรา
  • หมกเม็ดที่ล้างแล้ว ในขุยมะพร้าวหรือเถ้าถ่านแกลบในถุงซิบล็อก ปิดถุงให้สนิท แล้วก็ค่อยนำไปเก็บเอาไว้ภายในตู้เย็น (ช่องเก็บผัก) ราวๆ 12 อาทิตย์ ช่วงนี้ให้รอหมั่นตรวจตราว่ามีต้นอ่อนเริ่มแตกออกมาหรือยัง ถ้าเกิดมีเม็ดไหน 

ผลิออกก่อน 12 อาทิตย์ ก็แยกออกมาเพาะก่อน

  • ให้นำเม็ดที่ผลิออกก่อนมาเพาะในถุงชำ ใช้ดินถุงที่ขายปกติ ฝังเม็ดแปะก๊วยลงไปราวๆ 2 นิ้ว วางถุงเพาะชำให้โดนแดดอ่อนๆให้ดินที่

เพาะเมล็ดชื้ออยู่ตลอดระยะเวลาแต่อย่าให้เฉอะแฉะ หลังจากนั้นก็รอคอยให้ต้นเขาโตขึ้นมาก่อนที่จะนำไปปลูกลงดิน

  • สำหรับเมล็ดที่ไม่งอกก่อนกำหนด พบครบ 12 อาทิตย์ในตู้แช่เย็นก็ออกมาเพาะต่อตามข้อ 3

องค์ประกอบทางเคมีของแปะก๊วย

ใบแปะก๊วย มีสารประกอบทางเคมีจำนวนมาก แต่ว่าที่สำคัญมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ เทอร์ตะกายอย์ (terpenoids) มีสารประกอบที่สำคัญชื่อ กิงโกไลด์ (ginkgolide) และก็มีบิโลบาไลด์ (bilobalide) รวมทั้งอีกกรุ๊ปเป็น ฟลา-โอ้อวดนอยด์ (flavonoids) นอกนั้นยังพบในพวกสารสตีรอยด์ (steroide) อนุพันธ์กรดอินทรีย์แล้วก็น้ำตาล

สรรพคุณแปะก๊วย

ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ มีคุณลักษณะช่วยคุ้มครองโรคมะเร็ง และก็ยังสามารถชะลอความแก่ได้ ฤทธิ์การหยุดยั้งการยึดตัวของ เกล็ดเลือดทำให้การไหลเวียนของโลหิตในเส้นโลหิตแดง เส้นเลือดดำ รวมทั้งหลอดเลือดฝอย ฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ทำให้ความสามารถสำหรับเพื่อการปฏิบัติงานและก็การตัดสินใจ ฤทธิ์กระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดไหลฉีดไปตามผิวหนังได้ดี ฤทธิ์เพิ่มความสามารถในการศึกษา ฤทธิ์ยั้งการเกิดไลปิดเพอรอกไซด์ ฤทธิ์ช่วยให้ความจำ ฤทธิ์ทำให้เส้นโลหิตหดตัว ฤทธิ์เพิ่มการมองมองเห็น และก็ฤทธิ์ยั้งการเสื่อมของสมอง สร้างเสริมสมรรถภาพทางเพศ จะช่วยทำให้ระบบไหลเวียนเลือดภายในร่างกายดีขึ้น จัดการกับปัญหาเลือดไปไหลเวียนในบริเวณของลับไม่สะดวก บรรเทาอาหารของโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากแปะก๊วยจำเข่าไปช่วยเพิ่มระบบไหลเวียนเลือดในสมอง ทำให้ร่างกายสามารถผลิตฮอร์โมนโดปามีนได้มากขึ้น รวมทั้งนำส่งไปยังอวัยวะต่างๆภายในร่างกายได้อย่างพอเพียง

รูปแบบและก็ขนาดวิธีใช้

  • สารสกัดแปะก๊วยแห้ง –ใช้ 120 – 240 มก. แบ่งให้วันละ 2 – 3 ครั้ง สำหรับอาการ dementin โดยให้ยาต่อเนื่องกัน 8 สัปดาห์ แต่ว่าไม่เกิน 3 เดือน
  • สารสกัดแปะก๊วยแห้ง – ใช้ 120 – 160 มิลลิกรัม แบ่งให้วันละ 2 – 3 ครั้ง สำหรับรักษาอาการเส้นโลหิตแดงส่วนปลายประสาทอุดตัน และก็ ความงงงัน มีเสียงในหู โดยให้ยาติดต่อกัน 6 – 8 อาทิตย์
  • ในการใช้เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ให้ใช้รับประทานไม่เกินวันละ 120 มิลลิกรัม

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของแปะก๊วย

มีการทดสอบแปะก๊วยกับคนไข้ที่มีลักษณะผิดพลาดเรื้อรังของสมองส่วนซีรีบรัม แล้วก็หลอดเลือดพบว่า ในแปะก๊วยช่วยทำให้มีการพัฒนาการทางความจำความนึกคิด นอนหลับได้ง่ายขึ้น ส่วนผู้เจ็บป่วยโรคอัลไซเมอร์นั้น ในอเมริกา ใบแปะก๊วยก็ถูกให้อย่างกว้างขวางเพื่อเป็นยารักษาอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยมีการทดลองในปี 1994 ทดลองให้ใบแปะก๊วยกับกลุ่มคนไข้อัลไซเมอร์ พบว่าคนป่วยมีความจำ แล้วก็สมาธิเจริญขึ้น

ในปี 1996 ได้มีการทดสอบพบว่าใบแปะก๊วยมีคุณภาพช่วยคุ้มครองป้องกันผู้ที่มีลักษณะอาการ AMS (Asthma & AcutE Mountain Sickness) หรือภาวการณ์ผิดปรกติของการหายใจขณะขึ้นสู่ที่สูงได้ ส่วนคนในฝูงชนที่ประสบพบเจอปัญหาหูอื้ออยู่เป็นประจำ การรับประทานอาหารใบแปะก๊วยยังช่วยลดภาวะหูอื้อลงได้อีกด้วย

การศึกษาทางพิษวิทยาของแปะก๊วย

การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันของแปะก๊วยในหนู พบว่าให้ค่า LD50 พอๆกับ 7725 มิลลิกรัม/กิโลน้ำหนักตัว ไม่เจอผลที่นำมาซึ่งการก่อกลายพันธุ์ (mutagen) หรือทำให้มีการเกิดมะเร็ง (carcinogen) และไม่เป็นพิษต่อ ระบบอวัยวะสืบพันธุ์

ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง

  • สาร Gingkolide จากใบแปะก๊วยมีฤทธิ์ยีนส์การเกาะดึงของเกล็ดเลือด ถ้าหากกินยาแอสไพรินอยู่ประจำ หรือ รับประทานยา Gingkolide อยู่อาจมีผลข้างเคียงของการที่เลือดไหลไม่หยุด
  • หากกินสารสกัดจากในแปะก๊วยในจำนวนมาก อาจก่อให้เกิดของกินคลื่นไส้ คลื่นไส้ ท้องร่วง รวมทั้งมีของกินกระวายกระวน
  • สำหรับหญิงมีครรภ์แล้วก็ให้นมบุตร ยังไม่มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยตีพิมพ์ถึงความปลอดภัย หรือผลที่จะกำเนิดกับทารก

ทั้งยังถ้ากินสารสกัดแปะก๊วยมากเกินไปอาจมีผลข้างเคียงทำให้ปวดศีรษะ งงงัน เวียนศีรษะ ทางเดินอาหารป่วนปั่น หรืออาจกำเนิดอาการแพ้ทางผิวหนัง ระบบหายใจแล้วก็เส้นเลือดไม่ปกติ ง่วงซึม ระบบการนอนหลับก็ปั่นป่วนไปด้วย

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ประโยชน์เเปะก๊วย

ถิ่นกำเนิดกวาวเครือแดง

กวาวเครือแดง ประโยชน์สรรพคุณและงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร  กวาวเครือแดง
ชื่อประจำถิ่น  กวาวเครือ (เหนือ)   จานเครือ  (อีสาน)   ตานจอมทอง  (ชุมพร)  โพตะกุ , โพมือ  (กะเหรี่ยง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Butea superba  Roxb
ชื่อวงศ์  Leguminosae  วงค์ย่อย   Papilonaceae

ถิ่นกำเนิดกวาวเครือเเดง

เจออยู่มากมายในบริเวณที่ราบตีนเขา และก็ เชิงเขาป่าเต็งรัง  เทือกเขาหินปูน  ในรอบๆที่มีต้นไม้ใหญ่ไม่หนาแน่นนัก  มักพบอยู่เป็นกรุ๊ปๆข้างในป่า  อาจเป็นเพราะปัจจัย เป็น ติดฝักได้น้อย  ฝักมีขนาดใหญ่ ทำให้แพร่ระบาดตำแหน่งเดิมได้ยาก  ต้นกวาวเครือแดง ที่สร้างพุ่มไม้เอง จะมีลักษณะเตี้ย  ส่วนต้นที่เกี่ยวเนื่องกับต้นไม้ใหญ่จะแตกกิ่งไปถึงยอดไม้

ลักษณะทั่วไปของกวาวเครือแดง

กวาวเครือแดงอยู่ในจำพวกไม้เลื้อย เป็นเถาวัลย์ เนื้อแข็ง มักชอบพาดขึ้นกับต้นไม้ใหญ่

  • ใบกวาวเครือแดง ใบใหญ่เหมือนใบต้นทองคำกวาว  แต่ว่าใบใหญ่มากยิ่งกว่า
  • ดอกกวาวเครือแดง ดอกใหญ่เหมือนดอกแคแสด  แต่เป็นพวงระย้าราวกับดอกทองกวาว
  • หัวกวาวเครือแดง มีหลายขนาดลักษณะทรงกระบอก เมื่อสะกิดที่เปลือก จะมียางสีแดง คล้ายเลือดไหลออกมา
  • รากกวาวเครือแดง มีรากกิ้งก้านขนาดใหญ่  แยกจากเหง้าเลื้อยไปบริเวณหลายเมตร 

การขยายพันธุ์กวาวเครือแดง ทำได้ 3วิธีดังนี้|ดังต่อไปนี้

  • การเพาะเม็ด โดยการเพาะเม็ดในกระบะเถ้าแกลบราวๆ 45 วัน นำต้นกล้าที่ได้ ปลูกลงถุงเพาะชำโดยใช้ดิน 2 ส่วน เถ้าแกลบ 1 ส่วน เปลือกมะพร้าว 1 ส่วน ค่า pH โดยประมาณ 5.5 เมื่อต้นกล้าเติบโตได้ 60 วัน ก็เลยนำลงแปลงปลูกกลางแจ้ง  โดยทำด้วยไผ่  หรือปลูกร่วมกับไม้ยืนต้นในกระบวนการเกษตร ยกตัวอย่างเช่น ไผ่  สัก  ปอสา  หรือไม้ผลอื่นๆ พื้นที่ปลูกควรจะอยู่สูงขึ้นมากยิ่งกว่าระดับน้ำทะเล  300-900 เมตร
  • การปักชำ นำเถาที่มีข้อมาปักชำในกระบะ หรือถุงที่บรรจุขี้เถ้าแกลบ  เมื่อเถาแตกรากและก็ยอดแข็งแรงดีแล้ว ก็เลยนำลงแปลงปลูกถัดไป
  • การแบ่งหัวต่อต้น หัวของกวาวเครือ ไม่มีตาที่จะแตกฯลฯใหม่  จำเป็นต้องใช้ส่วนของลำต้นมาต่อเชื่อตามกระบวนการแพร่พันธุ์แบบต่อราก  เลี้ยงกิ่ง (nursed root grafting)  สามารถนำหัวกวาวเครือขนาดเล็ก อายุโดยประมาณ 6 เดือนขึ้นไป  แล้วก็ต้นหรือเถาที่เคยทิ้งไปข้างหลังการเก็บเกี่ยวมาเพาะพันธุ์ได้ หลังการต่อต้นราวๆ 45-60 วัน ก็สามารถนำลงปลูกได้ แล้วก็มีข้อดีก็คือสามารถต่อต้นกับหัวผ่านสายพันธุ์ได้

องค์ประกอบทางเคมีของกวาวเครือแดง

            ท่อนหัวของกวาวเครือแดงมีสารไฟโตแอนโดรเจน และไอโซฟลาโม้ลิกแนน 2 ประเภท เช่น Mebicarpin (carpin 3-hydroxy-9methoxypterocarpan); สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ ตัวอย่างเช่น butenin; formononetin (7-hydroxy_-methoxy-isoflavone); (7,4_-dimethoxyisoflayone); 5,4_-dihydroxy-7-methoxy-isoflavone, 7-hydroxy-6,4_-dimethoxyisoflavone

แอนโทไซยานินมีค่าการดูดกลืนแสงสว่างในตอนคลื่น  510-540นาโนเมตร  สารละลายแอนโทไซยานินมีความเคลื่อนไหวสีตามค่าความเป็นด่าง (pH) ต่ำจะมีสีแดง pH ปานกลางจะมีสีน้ำเงินม่วงรวมทั้งเมื่อ pH สูงจะมีสีเหลืองซีดเซียว

สรรพคุณกวาวเครือแดง

  • หัวกวาวเครือแดง รสเย็นเบื่อเมา  บำรุงเนื้อหนังให้เต่งตึง  บำรุงสุขภาพ  เพิ่มน้ำอสุจิ เป็นยาอายุวัฒนะ

แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย

  • รากกวาวเครือแดง แก้ลมอัมพาต  บำรุงเลือด  ผสมกับรากสมุนไพรอื่นอีก 8 ประเภทเรียกว่า  พิกัดนวโลหะ  แก้โรคลมที่เป็นพิษ  แก้ริดสีดวง  ทำลายพยาธิ  ดับพิษ  ทำลายพิษไข้  สมานไส้
  • เปลือกเถากวาวเครือแดง รสเย็นเบื่อเมา  แก้พิษงู

ผลดีกวาวเครือแดง

ฤทธิ์ต่อระบบแพร่พันธุ์  การศึกษาในอาสาสมัครผู้ชาย 17 คน อายุระหว่าง 30 – 70 ปี ที่มีลักษณะหย่อนยานสมรรถนะทางเพศอย่างต่ำ 6 เดือน  ให้กินกวาวเครือแดงขนาด 250 มก./แคปซูล วันละ 4 แคปซูล ตรงเวลา 3 เดือน ผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยพบว่าระดับฮอร์โมน testosterone ไม่ได้ต่างอะไรจากกลุ่มควบคุม  แต่ว่าผลจาการตอบแบบสำรวจเกี่ยวกับดัชนีชี้วัดสมรรถนะทางเพศ  จากอาสาสมัครพบว่าทำให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น  82.4 % โดยเหตุนี้ กวาวเครือแดงจึงช่วยฟื้นฟูคนป่วยโรคเสื่อมความสามารถทางเพศได้ และไม่เจอการเกิดพิษ

รูปแบบและขนาดวิธีใช้กวาวเครือแดง

หน่วยงานอาหารและก็ยาของไทย  เจาะจงขนาดและวิธีใช้สำหรับเพื่อการกินกวาวเครือแดง  ไม่เกิน  2 มก.  ต่อน้ำหนักตัว  1  โล  ต่อวัน

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของกวาวเครือแดง

ฤทธิ์ต่อระบบขยายพันธุ์  การทดลองป้อนกวาวเครือแดงในรูปผงป่นละลายน้ำ  รวมทั้งสารสกัดเอทานอล  ให้แก่หนูแรทเพศผู้  ความเข้มข้น 0.25 , 0.5 และ 5 มก./มล.  พบว่าหนูแรทที่ได้รับผงกวาวเครือแดงแบบละลายน้ำเข้มข้น 0.5 แล้วก็ 5 มิลลิกรัม/มล. ตรงเวลา  21  วัน  ทำให้น้ำหนักตัวของหนูแรท  แล้วก็ปริมาณน้ำเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ  รวมทั้งหนูแรทที่ได้รับสารสกัดเอทานอลเข้มข้น 5 มิลลิกรัม/มล. 21 วัน มีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles ต่อมลูกหมาก  รวมทั้งความยาวขององคชาติ  ส่งผลให้หนูแรทมีความประพฤติการสิบจำพวกมากขึ้น  เมื่อศึกษาต่อไปถึงระยะ 42 วัน พบว่าหนูแรทที่ได้รับผงกวาวเครือแดงแบบละลายน้ำ มีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles ต่อมลูกหมาก แล้วก็ความยาวขององคชาติ  รวมทั้งความประพฤติปฏิบัติการสืบเผ่าพันธุ์มากขึ้น  แต่หนูกรุ๊ปที่ได้รับสารสกัดเอทานอล  กลับมีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ seminal  vesicles  ลดลง  การศึกษาผลของกวาวเครือแดงในระยะยาว  และก็ในปริมาณสารสกัดที่มากขึ้น  พบว่าทำให้ระดับฮอร์โมน testosterone ของหนูแรทลดลง  แล้วก็ปริมาณโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับสูงมากขึ้น  ด้วยเหตุดังกล่าวการกินกวาวเครือแดงมากจนเกินไป อาจจะเป็นผลให้เกิดพิษต่อตับได้

การศึกษาทางพิษวิทยากวาวเครือแดง

การศึกษาเล่าเรียนพิษครึ่งเรื้อรังในหนูวิสตาร์เพศผู้โดยป้อนผงกวาวเครือแดงในขนาด 10 , 100 , 150 แล้วก็ 200  มิลลิกรัม/กก/วัน  เป็นเวลา 90 วัน  พบว่าหนูที่รับในขนาด   150  มก./กก/วัน  น้ำหนักของม้ามเพิ่มขึ้น ระดับเอนไซม์ alkalinephosphatase (ALP) รวมทั้ง aspartate aminotransferase (AST) เพิ่มขึ้น หนูที่ได้รับขนาด 200 มก./กก/วัน พบว่ามีเม็ดเลือดขาวประเภท neutrophil ลดลง ส่วนเม็ดเลือดขาวประเภท eosinophil ระดับ serum creatinine  น้อยลงระดับฮอร์โมน testosterone น้อยลง ดังนั้นจะต้องระแวดระวังการใช้ในขนาดสูงด้วยเหตุว่าอาจส่งผลให้เกิดอาการอันไม่พึงประสงค์ต่างๆได้

ข้อแนะนำข้อควรระวัง

พืชจำพวกนี้มีฤทธิ์เป็นยา เหมือนกันกับกวาวเครือขาว แต่เป็นพิษมากกว่า  หากกินมากอาจก่อให้เกิดอันตรายได้อาจทำให้เมาอาเจียนอาเจียน.และมีพิษเมามากกว่ากวาวเครือขาว

กวาวเครือขาว คุณประโยชน์คุณประโยชน์ แล้วก็งานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยจุดเด่นข้อเสีย

กวาวเครือขาว คุณประโยชน์สรรพคุณ รวมทั้งงานศึกษาเรียนรู้วิจัยข้อดีข้อเสีย
กวาวเครือขาว คุณประโยชน์กวาวสรรพคุณ และงานศึกษาเรียนรู้
ชื่อสมุนไพร กวาวเครือขาว
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อประจำถิ่น กวาวเครือ , จานเครือ (อีสาน) ,ตานเครือ , ทองนอกรือ , จอมทอง , (ใต้) ตานจอมทองคำ (จังหวัดชุมพร) โพ้ต้น ( จังหวัดกาญจนบุรี) .โพะตะกู
ชื่อวิทยาศาสตร์ Pueraia candollei Graham ex Benth. Var mirifica
ชื่อวงศ์ Leguminosae-Papilionoideae

บ้านเกิด
กวาวเครือขาวเป็นพืชที่ขึ้นรอบๆป่าเบญจพรรณ เจอกระจากทั่วๆไปตั้งแต่ อินเดีย กลุ่มประเทศอินโดจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย จีน ญี่ปุ่น และก็ ไทย สำหรับในประเทศไทย พบกระจากในป่าเบญจพรรณในภาคเหนือ ภาคตะวันตก และก็ภาคอีสาน แต่จะพบบ่อยในภาคเหนือของไทย โดยยิ่งไปกว่านั้นพื้นที่ที่มีอินทรีย์สารสูงตามป่าเขา ดินที่มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ 5.5 ที่สูงจาก

ระดับน้ำทะเล 300 – 800 เมตร ในภาวะธรรมชาติมีการกระจาดประเภทด้วยเม็ด โดยทั้งนี้พบว่าจะมีการออกดองช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคมรวมทั้งติดฝักในเดือนเมษายน สามารถเจอกวาวเครือขาวพันอยู่กับต้นไม้ใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นสักในจังหวัดกาญจนบุรี ตาก ลำปาง จังหวัดเชียงใหม่ ในบริเวณที่เป็นดงไผ่ในจังหวัดกาญจนบุรี สระบุรี ลพบุรี ชัยภูมิ พบว่ามีกวาวเครือขาวกระจากพันธุ์อยู่เจริญด้วยเหมือนกัน
ลักษณะทั่วไปของกวาวเครือขาว
กวาวเครือขาวเดินถูกให้มีชื่อด้านวิทยาศาสตร์ว่า Butea superba Roxb. เป็นพืชตระกูลถั่ว ขึ้นในป่าเบญจพรรณ ลักษณะเป็นไม้เถาเนื้อแข็งขนาดใหญ่ ผลัดใบ เลื้อยพิงพันบนต้นไม้ชื้น
ลำต้นสะอาด บางทีอาจยาวถึง 5 เมตร ใบเป็นในประกอบ มีใบย่อย 3 ใบ (Pinnately trifoliate) เรียงสลับกันปลายใบมีลักษณ์รูปไข่ปลายแหลม เนื้อใบด้านบนเกลี้ยงด้านล่างมีขนสั้นๆเล็กน้อยเส้นกิ้งก้านใบข้างละ 5 – 7 เส้น ใบย่อยข้างๆโคนมีลักษณะเบี้ยว หูใบรูปไข่ มีเยื่อก้านใบมองเห็นชัดเจน ใบประดับมีลักษณะเป็นเกล็ดมีขนาดเล็กมากมาย
ดอกออกในระยะผลัดใบ เป็นช่อยาวราว 30 ซม. ดอกจะออกตามาซอกกิ่ง ข่อดอกเป็นข่อคนเดียวและช่อแยกกิ่งก้านสาขาออกปลายกิ่ง ดอกมีกลีบประดับรองรับ ดอกย่อยเป็นรูปถั่วเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีทั้งหมดศผู้และก็เพศภรรยาในดอกเดียวกัน ทรงดอกเป็นแบบ Zygomorphic แบบที่เรียกว่า Papilionacaceous form ดอกมีกลีบ 5 กลีบ ที่มีขนาดแล้วก็ลักษณะไม่เหมือนกัน กลีบที่อยู่นอกสุดมีขนาดใหญ่สุด เรียกว่ากลีบ Standard กลีบที่ตามติดอยู่ทางข้างๆทั้งสอง มีลักษณะคล้ายคลึงกัน คืองอนโค้งคล้ายปีกนกเรียกว่า กลีบ wing กลีบที่อยู่ด้านในสุด 2 กลีบ จะเชื่อมรวมกันเป็นกระพุ้งคล้ายท้องเรือ เรียกว่า กลีบ (keel) เป็นกลีบที่ห่อเกสรไว้ มีก้านยกอับเรณูชิดกัน ดอกมีสีฟ้าอมม่วงถึงสีน้ำเงิน 2 – 3 ดอกต่อช่อ มีเกสรตัวผู้ 10 อัน รังไข่ยาวเป็นแบบ superior ภายในมี 1 ห้องมีเม็ดไข่อยู่ข้างใน
ฝักมีลักษณะแบน เมื่อแก่มีสีออกน้ำตาล ผิวมีขนสั้นๆกระจายถึงเกลี้ยง ฝักมีความกว้างราวๆ 7 มิลลิเมตร ยาวราวๆ 3 ซม. มีเม็ด 3 – 5 เม็ดต่อฝัก เมล็ดมีลักษณะกลมมีเส้นผ่านศูนย์กลาง ราวๆ 2 – 4 เซนติเมตร เม็ดแก่จะมีลายสีเขียวคละเคล้าม่วง หรือ สีน้ำตาลปนม่วง
หัวเป็นหัวใต้ดินคล้ายหัวมันแกว (Tiberous root) จะมีฤทธิ์ทางยามากในขณะที่ผลัดใบ มีหลายขนาด หัวที่แก่มากมายมีขนาดใหญ่ อาจมีน้ำหนักสูงถึง 20 กิโลกรัม ที่เปลือก เมื่อเอามีดเฉือนจะมียางสีขาวเหมือนน้ำนม เนื้อในสีขาวคล้ายมันแกว เนื้อจะเปราะ มีเส้นมากมาย รสเย็นเบื่อเมา หัวที่ยังเล็ก เนื้อในจะละเอียด มีน้ำมาก
การขยายพันธุ์กวาวเครือขาว
ขยายพันธุ์โดยการปลูกแบบเพาะเม็ด โดยอาจจะเริ่มต้นโดยการผลิตต้นประเภทจากเมล็ดหรือโดยแนวทางอื่น การผลิตต้นชนิดจากเมล็ดต้องคอยเก็บเม็ดในช่วงต้นถึงกึ่งกลางฤดูร้อน เพราะเหตุว่ากวาวเครือขาวมีดอกติดฝักในช่วงกึ่งกลางหน้าหนาวจนถึงกึ่งกลางฤดูร้อน ต้นกำเนิดของเมล็ดคือต้นกวาวเครือขาวที่อยู่ในป่า แกะเม็ดออกจากฝัก เก็บเอาไว้ในที่แห้งหรือในภาชนะที่มีการระบายอากาศได้ ทำการเพาะเม็ดในกระบะบรรจุดินผสมปุ๋ยอินทรีย์โดยให้เม็ดถูกฝังกลบไว้ลึกโดยประมาณ 1 เซนติเมตร รดน้ำให้ชุ่มแต่ละวัน เสนอแนะให้กระทำเพาะเมล็ดในช่วงที่อากาศร้อนมากที่สุด ความร้อนจะช่วยทำให้เม็ดงอกได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น โดยปกติเม็ดที่เก็บจากฝักที่แห้งคาต้นแล้วนำมาเพาะในปีนั้นจะมีอัตราการงอกเกือบ 100% เมล็ดที่ถูกเก็บไว้ผ่านปีจะมีอัตรางอกลดน้อยลง
องค์ประกอบทางเคมี
หัวกวาวเครือขาวมีสารที่มีสาระอยู่อีกหลากหลายประเภทและสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน เอสโตรเจน ยิ่งกว่านั้นยังเจอข้อมูลทางด้านโภชนาการดังนี้




________________________________________
ส่วนประกอบ ปริมาณ (เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนักแห้ง)
________________________________________
พลังงานจากไขมัน 5.85 แคลอรีต่อ 100 กรัม
คาร์โบไฮเดรตรวม 67.66
ไฟเบอร์รวม (dietary Fiber) 20.39
น้ำตาลรวม (Total Sugar) 19.35
คาร์โบไฮเดรต อื่นๆ 27.92
โปรตีน 7.88
ไขมัน 0.66
แคลเซี่ยม 7.56
เหล็ก 0.029
พลังงานรวม 308.01 แคลอรีต่อ 100 กรัม
________________________________________

ส่วนประกอบทางเคมีของหัวกวาวเครือขาว (Pueraria mirifica)
ที่มา : ชาลีรวมทั้งวันชัย (2544)

ส่วนสาระสำคัญกลุ่มต่างๆ
ที่เจอในกวาวเครือขาวสามารถแบ่งเป็นกรุ๊ปๆได้ดังต่อไปนี้
7.1 สารกลุ่มคูมารินส์ (Coumarins)
อย่างเช่น Coumestrol, Mirificoumestan, Mirificoumestan Glycol และก็ Mirificoumestan hydrate

สูตรโครงสร้างทางเคมีของ Coumestrol
ที่มา : สุนิสา (2552)

สูตรโครงสร้างทางเคมีของ Mirificoumestam
ที่มา : สุนิสา (2552)

7.2 สารกรุ๊ปฟลาโวนอยด์ (Flavonoids)
โดยในหัวกวาวเครือขาวมีสารประเภท lsoflavonoid หลากหลายประเภท อย่างเช่น Genistain, Daidzein, Daidzin, Puerarin, Puerein-6-monoacetate, Mirificin, Kwakhurin รวมทั้ง Kwakhurin hydrate

Genistein : R1 = H , R2 = OH
Daidzein : R1 = H , R2 = H
Puerarin : R1 –Glucose, R2 = H
Mirificin : Glucose – Apiose , R2 = E
สูตรองค์ประกอบทางเคมีของสารกลุ่ม Flavonoids
ที่มา : สุนิสา (2552)
7.3 สารกรุ๊ปโครมีน (Chromene)
สาระสำคัญอันดับแรกๆในกวาวเครือ ยกตัวอย่างเช่น Miroestrol ซึ่งเป็นสารที่มีกล่าวว่ามีฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจน เจอจำนวน 0.002 – 0.003 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักหัวแห้ง หรือราว 15 มก.ต่อกก.ของกวาวเครือแห้ง มีรูปผลึก 2 แบบหมายถึงแบบที่มีน้ำหนักอยู่ในผลึก (hydrate form) ลักษณะเป็นรูปเข้มอ้วน และก็แบบผลึกที่ไม่มีน้ำอยู่ในผลึก (anhydrate form) มีลักษณะเป็นแผ่น ไม่มีสี มีจุดหลอมเหลว 268 – 270 องศาเซลเซียส

สูตรส่วนประกอบทางเคมีของ Miroestrol
ที่มา : สุนิสา (2552)

7.4 สารกรุ๊ปสเตียรอยด์ (steroids)
สเตียรอยด์ที่พบในหัวกวาวเครือ อย่างเช่น B-sitosterol, Stigmasterol, Pueraria แล้วก็ Mirificasterol
7.5 สารประกอบอื่นๆ
เว้นแต่สารกลุ่มที่กล่าวแล้วข้างต้น ในหัวกวาวเครือขาวยังมีสารพวกแอลเคน แอลกอฮอร์และสารพวกไขมัน คือ Puereria, Mififica glyceride lithium, Potassium, Sodium, Phosphate, แคลเซียม, โปรตีน, ไขมัน, รวมทั้งไฟเบอร์ นอกเหนือจากนี้ยังมีสารชนิด Saponim อยู่อีกหลากหลายประเภท
ซึ่งสารต่างๆพวกนี้หลากหลายประเภทมีคุณลักษณะเป็นไฟโตเอสโตรเจน (phytoestrogen) ซึ่งหมายความว่าเป็นเอสโตรเจนที่ได้จากพึชแล้วก็ออกฤทธิ์เช่นเดียวกับฮอร์โมนเอสโตรเจนทุกประการ หรืออาจเป็นสารที่ออกฤทธิ์ที่ตัวรับ (Receptor) เดียวกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งปัจจุบันนี้รู้แล้วว่า receptor นี้มี 2 Subtypeหมายถึงestrogen receptor alpha รวมทั้ง beta subtype ตอนนี้ไฟโตเอสโตรเจนที่มีอยู่ในกวาวเครือขาวสามารถแบ่งได้เป็นสารที่มีความแรงสูงรวมทั้งความแรงต่ำ โดยกลุ่มที่มีความรุนแรงต่ำ อย่างเช่น Coumestrol, Daidzein, Daidzin, Genistin, Genistein, Mirificn แล้วก็ Puerarin
คุณประโยชน์กวาวเครือขาว
หัว รสเย็นเบื่อเมา บำรุงเนื้อหนังให้เต่งตึง บำรุงสุขภาพ บำรุงกำลัง เป็นยาอายุวัฒนะสำหรับคนชรา แก้เมื่อยตามร่างกาย แก้เมื่อยล้า ผอมแห้งแรงน้อย นอนไม่หลับ มีฮอร์โมนเพศหญิงสูง ทาหรือรับประทานทำให้เต้านพขยายตัว เส้นผมดกดำ เพิ่มเส้นผม เป็นยาปรับรอบเดือนอาจส่งผลให้แท้งลูกได้ บำรุงความกำหนัด ทำให้อวัยวะสืบพันธุ์และมดลูกมีเลือดมาคั่งเยอะขึ้น บำรุงอวัยวะสืบพันธุ์ให้เจริญรุ่งเรือง แก้โรคจาฟาง ต้อกระจก ทำให้ความจำดี ทำให้มีพลัง เคลื่อนกระปรี้กระเปร่า บำรุงเลือด กินได้นอน ผิวหนังเต่งตึงเปล่งปลั่ง ช่วยลดอาการของสตรีวัยหมดระดู โดยมีการเล่าเรียนฤทธิ์ขของกวาวเครือขาวต่อการลดอาการร้อนวูบวาบ มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระรวมทั้งช่วยทำให้เรื่องของความจำแล้วก็การเล่าเรียน ช่วยลดอาการช่องคลอดแห้งในสตรีวัยหมดระดูได้
แบบแล้วก็ขนาดวิธีใช้กวาวเครือขาว
สถาบันการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข ระบุขนาดการใช้ดังนี้
การใช้เป็นองค์ประกอบในตำรับบำรุงย่างกาย ให้กินยาตำรับที่มีส่วนประกอบของผงกวาวเครือขาว ไม่เกิน 1 – 2 มก. ต่อกิโลต่อวัน หรือประมาณวันละไม่เกิน 50 – 100 มก. อาการใกล้กันที่บางทีอาจพบได้เป็น เจ็บเต้านม มีเลือดออกไม่ดีเหมือนปกติทางช่องคลอด ปวดหรือเวียนศีรษะ คลื่นไส้คลื่นไส้
แบบเรียนยาของหลวงอนุสารเพราะ
ระบุขนาดที่ใช้ของหัวกวาวเครือขาว โดยให้รับประทานกวาวเครือขาวผสมน้ำผึ้ง ขนาดเท่าเม็ดพริกไทย 1 เม็ดต่อวัน รับประทานมากมายจะทำให้เมาเป็นพิษคนหนุ่มคนสาวไม่สมควรรับประทาน
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาของกวาวเครือขาว
การทดลองในหนูเพศเมียที่กินกวาวเครือขาวพบว่า ส่งผลยั้งการให้นมของหนูที่กำลังให้นม โดยไปยังยั้งการเจริญของต่อมน้ำนม และก็การสร้างนม มีผลคุ้มครองป้องกันการมีครรภ์ เมื่อให้หนูกินในช่วงตั้งท้องวันที่ 1 – 10 ต่อเนื่องกัน หรือให้กินในตอนที่มีการเคลื่อนย้ายของตัวอ่อน โดยทำให้มากเกินแท้ง แล้วก็เมื่อให้ในหนูที่ตัดรังไข่ออก กินกวาวเครือพบว่าน้ำหนักของมดลูกรวมทั้งจำนวนของเหลวในมดลูกเพิ่มขึ้น เหมือนกับที่เจอในหนูที่ได้รับ ethinyl estradiol และก็มีรายงานว่ากวาวเครือขาวมีฤทธิ์คุมกำเนิดที่ดีในหนูขาวเมื่อให้ในขนาด 1 กรัม/ตัว/สัปดาห์ ส่วนผลของกวาวเครือขาวต่อหนูเพศผู้พบว่าสัตว์มีการกระทำการสืบเผ่าพันธุ์ลดน้อยลง และก็มีขนาด และก็น้ำหนักอัณฑะ epididymis ต่อมลูกหมาก และก็ seminal vesicles ลดน้อยลง รวมถึงมีปริมาณตัวน้ำอสุจิ แล้วก็เปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวของตัวน้ำเชื้อลดลง
การศึกษาเล่าเรียนทางคลินิกในระยะที่ 2 ในอาสาสมัครกรุ๊ปก่อนและก็หลังวัยหมดระดู ที่มีลักษณะอาการพร่องฮอร์โมนเอสโตรเจน ปริมาณ 37 ราย ใช้เวลา 6 เดือน เจอคะแนนของงอาการวัยหมดระดูต่ำลงจาก 35.6 เป็น 15.1 รวมทั้ง 32.6 เป็น 13.69 ในกรุ๊ปที่ได้รับ 50 มิลลิกรัมต่อวัน และ 100 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นลำดับ แม้กระนั้นพบอาการข้างๆ คือ อาการคัดตึงเต้านมโดยประมาณร้อยละ 35 และอาการเลือดออกกระปริดกระปรอยราวๆปริมาณร้อยละ 16.2

การเรียนรู้ทางพิษวิทยาของกวาวเครือขาว
การเล่าเรียนพิษกระทันหันของผงหัวกวาวเครือขาวในรูปผงยาห้อยขี้ตะกอนในน้ำ พบว่าไม่ก่อให้เกิดอาการพิษกะทันหันในหนูถีบจักร ขนาดที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายครึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่ามากกว่า 16 กิโล / น้ำหนักตัว 1 กิโล การทดลองพิษกึ่งเรื้อรังในหนูขาวชนิดวิสตาร์โดยการป้อนผงหัวกวาวเครือขาวในรูปผงยาแขวนขี้ตะกอนในน้ำ ขนาด 10 และก็ 100 มก./กก./วัน ไม่กระตุ้นให้เกิดความแตกต่างจากปกติต่อค่าโลหิตวิทยา และค่าทางวิชาชีวเคมี หรือพยาธิภาวะใดๆก็ตามแต่การให้ในขนาด 1000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ทำให้หนูเกิดภาวะโลหิตจาง ปริมาณเม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด ระดับโคเลสเตอรอคอยล น้ำหนักอัณฑะ ของหนูเพศผู้ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งมีอัตราการเกิด hyperemia ของอัณฑะ ในหนูเพศภรรยาที่ได้รับในขนาด 100 และ 1000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน พบว่าระดับวัวเลสเตอรอลลดลง มดลูกบวมเต่ง มีอัตราการเกิด cast ที่ไตสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างเป็นจริงเป็นจัง
ข้อเสนอ
ถ้าหากกินเกินขนาด จะเป็นอันตรายได้ ทำให้มีลักษณะอาการเมา คลื่นไส้ อ้วก ห้ามใช้ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ เพราะเหตุว่าสารที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงในกวาวเครือขาวมีความแรงของตัวยาจะก่อกวนรูปแบบการทำงานของฮอร์โมนเพศ และก็ระบบระดูได้
ข้อควรคำนึง ห้ามกินเกินขนาดที่แนะนำให้ใช้

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : สรรพคุณกวาวเครือขาว

ถิ่นกำเนิดสมุนไพรแปะก๊วย

แปะก๊วย ประโยชน์สรรพคุณ และงานวิจัยข้อดีข้อเสีย

ชื่อสมุนไพร แปะก๊วย
ชื่ออื่นๆ หยาเจียว (จีน) อิโจว(ญี่ปุ่น)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Gingko biloba L.
ชื่อวงศ์ Ginkgoaceae

ถิ่นกำเนิดแปะก๊วย

แปะก๊วยมีถิ่นเกิดอยู่แถบตะวันออกเฉียงใต้ของจีน เช้าใจกันว่าเป็นพืชที่เก่าแก่ที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง ที่คงเหลือในประเทศจีน ซึ่งเป็นพืชที่หายากและใกล้จะสิ้นซาก โดยเจออยู่ในธรรมชาติไม่กี่ต้น ต่อมามีการนำต้นแปะก๊วยไปปลูกเอาไว้ภายในประเทศญี่ปุ่นรวมทั้งเกาหลี แล้วก็ในราวศตวรรษที่ 18 ได้มีการปลูกลงในทวีปยุโรป ปัจจุบันต้นแปะก๊วยเป็นไม้ให้ความร่มเงาตามแถวถนนและสวนสาธารณะทั่วไปทั่งในยุโรป ประเทศออสเตรเลีย และก็อเมริกาลักษณะทั่วไป ต้นแปะก๊วยเป็นไม้ยื่นต้นขนาดใหญ่บางทีอาจสูงได้ถึง 35 – 40 เมตร ต้นโตเต็มที่มีเส้นรอบวงประมาณ 3 – 4 เมตร แล้วก็อาจโตได้ถึง 7 เมตร ใบเป็นใบเดียว ลักษณะคล้ายพัด กว้าง 5 – 10 เซนติเมตร ก้านใบยาว ใบแก่มีรอยหยักเว้ากึ่งกลาง ใบออกเวียนสลับกัน หรือออกเป็นกลุ่มตามปลายกิ่ง เส้นใบขนานกันเยอะมากๆ ใบอ่อนเป็นสีเขียว สามารถกลายเป็นสีแก่ได้เมื่อโตสุดกำลัง และเป็นสีเหลืองในฤดูใบไม้หล่น ต้นแปะก๊วยจะมีต้นเพศผู้ รวมทั้งต้นตัวเมีย ซึ่งลักษณะแตกต่างกัน

การขยายพันธุ์แปะก๊วย

ตอนนี้แพร่พันธุ์โดยขั้นตอนการ เพาะเมล็ด , ปักชำ , ทาบกิ่ง โดยวิธีการเพาะเมล็ด มีดังนี้

  • ล้างเมล็ดแปะก๊วยในน้ำอุ่นให้สะอาดเพื่อไม่ให้กำเนิดเชื้อรา
  • หมกเม็ดที่ล้างแล้ว ในขุยมะพร้าวหรือเถ้าถ่านแกลบในถุงซิบล็อก ปิดถุงให้สนิท แล้วนำไปเก็บไว้ในตู้แช่เย็น (ช่องเก็บผัก) ราวๆ 12 อาทิตย์ ช่วงนี้ให้รอหมั่นตรวจตราว่ามีต้นอ่อนเริ่มแตกออกมาหรือยัง ถ้าหากมีเม็ดไหน 

แตกหน่อก่อน 12 อาทิตย์ ก็แยกออกมาเพาะก่อน

  • ให้นำเม็ดที่แตกออกก่อนมาเพาะในถุงชำ ใช้ดินถุงที่ขายปกติ ฝังเม็ดแปะก๊วยลงไปโดยประมาณ 2 นิ้ว วางถุงเพาะชำให้โดนแดดอ่อนๆให้ดินที่

เพาะเมล็ดชื้ออยู่ตลอดระยะเวลาแม้กระนั้นอย่าให้เฉอะแฉะ หลังจากนั้นก็คอยให้ต้นเขาโตขึ้นมาก่อนที่จะนำไปปลูกลงดิน

  • สำหรับเมล็ดที่ไม่แตกออกก่อน พบครบ 12 อาทิตย์ในตู้แช่เย็นก็ออกมาเพาะต่อตามข้อ 3

องค์ประกอบทางเคมีของแปะก๊วย

ใบแปะก๊วย มีสารประกอบทางเคมีมาก แต่ว่าที่สำคัญมีอยู่ 2 กลุ่มหมายถึงเทอร์ปีนอย์ (terpenoids) มีสารประกอบที่สำคัญชื่อ กิงโกไลด์ (ginkgolide) แล้วก็มีบิโลบาไลด์ (bilobalide) และอีกกรุ๊ปคือ ฟลา-โอ้อวดนอยด์ (flavonoids) นอกเหนือจากนั้นยังเจอในพวกสารสตีรอยด์ (steroide) อนุพันธ์กรดอินทรีย์และน้ำตาล

สรรพคุณแปะก๊วย

ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีคุณลักษณะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง รวมทั้งยังสามารถชะลอความแก่ได้ ฤทธิ์การขัดขวางการเกาะตัวของ เกล็ดเลือดทำให้การไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดแดง หลอดโลหิตดำ แล้วก็เส้นเลือดฝอยดีขึ้น ฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ทำให้ความสามารถในการดำเนินการแล้วก็การตัดสินใจดียิ่งขึ้น ฤทธิ์กระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดไหลฉีดไปตามผิวหนังได้ดิบได้ดี ฤทธิ์เพิ่มความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการทำความเข้าใจ ฤทธิ์ยับยั้งการเกิดไลปิดเพอรอกไซด์ ฤทธิ์ช่วยให้ความจำ ฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดหดตัว ฤทธิ์เพิ่มการมองมองเห็น รวมทั้งฤทธิ์ยั้งการเสื่อมของสมอง สร้างเสริมความสามารถทางเพศ จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดภายในร่างกาย จัดการกับปัญหาเลือดไปไหลเวียนในรอบๆอวัยวะเพศไม่สบาย บรรเทาของกินของโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากแปะก๊วยจำเข่าไปช่วยเพิ่มระบบไหลเวียนเลือดในสมอง ทำให้ร่างกายสามารถผลิตฮอร์โมนโดปามีนได้มากขึ้น รวมทั้งนำส่งไปยังอวัยวะต่างๆภายในร่างกายได้อย่างเพียงพอ

ต้นแบบและขนาดวิธีใช้

  • สารสกัดแปะก๊วยแห้ง –ใช้ 120 – 240 มิลลิกรัม แบ่งให้วันละ 2 – 3 ครั้ง สำหรับอาการ dementin โดยให้ยาติดต่อกัน 8 อาทิตย์ แม้กระนั้นไม่เกิน 3 เดือน
  • สารสกัดแปะก๊วยแห้ง – ใช้ 120 – 160 มก. แบ่งให้วันละ 2 – 3 ครั้ง สำหรับรักษาอาการเส้นโลหิตแดงส่วนปลายประสาทอุดตัน แล้วก็ ความมึน มีเสียงในหู โดยให้ยาต่อเนื่องกัน 6 – 8 สัปดาห์
  • สำหรับการใช้เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ให้ใช้รับประทานไม่เกินวันละ 120 มก.

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของแปะก๊วย

มีการทดลองแปะก๊วยกับผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการบกพร่องเรื้อรังของสมองส่วนซีรีบรัม และก็เส้นเลือดพบว่า ในแปะก๊วยช่วยทำให้มีการพัฒนาการทางความจำความนึกคิด นอนได้ง่ายขึ้น ส่วนคนไข้โรคอัลไซเมอร์นั้น ในสหรัฐอเมริกา ใบแปะก๊วยก็ถูกให้อย่างมากมายเพื่อเป็นยารักษาอาการดังที่กล่าวมาแล้ว โดยมีการทดสอบในปี 1994 ทดลองให้ใบแปะก๊วยกับกรุ๊ปคนไข้อัลไซเมอร์ พบว่าผู้ป่วยมีความจำ และสมาธิได้ดิบได้ดีขึ้น

ในปี 1996 ได้มีการทดลองพบว่าใบแปะก๊วยมีประสิทธิภาพช่วยคุ้มครองปกป้องผู้ที่มีลักษณะอาการ AMS (Asthma & AcutE Mountain Sickness) หรือภาวการณ์ผิดปรกติของการหายใจขณะขึ้นสู่ที่สูงได้ ส่วนคนในกลุ่มชนที่เผชิญปัญหาหูอื้ออยู่เป็นประจำ การทานอาหารใบแปะก๊วยยังช่วยลดภาวการณ์หูอื้อลงได้อีกด้วย

การศึกษาทางพิษวิทยาของแปะก๊วย

การทดสอบความเป็นพิษทันควันของแปะก๊วยในหนู พบว่าให้ค่า LD50 เท่ากับ 7725 มก./โลน้ำหนักตัว ไม่เจอผลที่ทำให้เกิดการก่อกลายชนิด (mutagen) หรือนำไปสู่มะเร็ง (carcinogen) และไม่เป็นพิษต่อ ระบบอวัยวะสืบพันธุ์

ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง

  • สาร Gingkolide จากใบแปะก๊วยมีฤทธิ์ยีนส์การยึดดึงของเกล็ดเลือด ถ้ารับประทานยาแอสไพรินอยู่ประจำ หรือ กินยา Gingkolide อยู่อาจมีผลกระทบของการที่เลือดไหลไม่หยุด
  • หากรับประทานสารสกัดจากในแปะก๊วยในปริมาณมาก อาจจะส่งผลให้กำเนิดของกินอ้วก อ้วก ท้องร่วง รวมทั้งมีของกินร้อนใจ
  • สำหรับหญิงมีครรภ์และให้นมบุตร ยังไม่มีงานค้นคว้าวิจัยพิมพ์ถึงความปลอดภัย หรือผลที่จะกำเนิดกับเด็กแรกเกิด

อีกทั้งถ้ากินสารสกัดแปะก๊วยมากจนเกินความจำเป็นอาจมีผลข้างเคียงทำให้ปวดศีรษะ มึนหัว เวียนหัว ทางเดินอาหารปั่นป่วน หรืออาจกำเนิดอาการแพ้ทางผิวหนัง ระบบหายใจและก็เส้นโลหิตเปลี่ยนไปจากปกติ ง่วงซึม ระบบการนอนหลับก็ปั่นป่วนไปด้วย

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : เเปะก๊วย